วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

แนวโน้มในอนาคตของระบบ LAN


แนวโน้มในอนาคตของระบบ LAN ต่อไปนี้สิ่งที่คุณควรทราบระบบปฏิบัติการแลนหลัก ๆ ล้วนแต่เร็วพอสำหรับความต้องการใด ๆ ในทางปฏิบัติขององค์การ ความเร็วเป็นเพียงปัจจัยส่วนน้อยในการเลือกระบบปฏิบัติการเครือข่าย ระบบปฏิบัติการกำลังมีความเข้ากันได้และทำงานได้มากขึ้น Net Ware ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดและห่างจากคู่แข่งมาก Windows NT ของ Microsoft เป็นผู้ท้าชิงที่น่ากลัวสำหรับ Net Were ผลิตภัณฑ์บนฐานของ Dos เช่น LANtastic และ POWERlan มีอนาคตที่ไม่สดใส เนื่องจากการทำเครือข่ายถูกสร้างไว้ใน Microsoft Windowsขนาดของตลาด และศักยภาพในการทำกำไรทำให้การแข่งขันระหว่างผู้ค้าระบบปฏิบัติการแลนเป็นไป อย่างดุเดือด Novell ผู้ซึ่งครอบส่วนแบ่งตลาด 70 เปอร์เซ็นต์ของเครือข่ายสำหรับพิธี ไม่ใช้ผู้เล่นเพียงคนเดียวอีกต่อไป แม้ว่าบริษัทที่ขายระบบปฏิบัติการเครือข่ายอื่นยังไม่สามารถแย่งส่วนแบ่ง ตลาดจาก Novell ได้มากนักทุกรายก็กำลังทุ่มเทเงินให้กับทำการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตน เองโดยมี Microsoft เป็นผู้นำ
ในปี 1989 ผู้ค้าระบบปฏิบัติการเครือข่าย ได้เติมเชื้อเพลิงให้กับการเติบโตของเครือข่ายด้วยการประกาศและส่งมอบ ผลิตภัณฑ์ที่ทำตามมาตรฐานเปิดเทนโปรโตดอลเฉพาะตัว ATOT, Digital และ 3COM นำอุตสาหกรรมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถในการทำงานร่วมกันตามมาตรฐานเปิด แทนที่จะต้องลงบันทึกเข้าและควบคุมแต่ละบัญชีด้วยมาตรฐานการสื่อสารเฉพาะตัว พวกเขาล่อใจผู้ซื้อด้วยซอฟต์แวร์ที่ทำงานตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับใน ระดับชาติและนานาชาติในทศวรรษ 1990 บริษัทในตลาดที่ยังคงให้ผู้ซื้อด้วยความเข้าใจกันและความสามารถในการทำงาน ร่วมกันเพิ่มขึ้น แนวโน้มนี้ไปไกลจนกระทั่งเดี๋ยวนี้บริษัทไม่เพียงสนับสนุนมาตรฐานเปิดเท่า นั้น พวกเขายังส่งซอฟต์แวร์สำหรับโพรโตคอล เฉพาะตัวของกันและกัน Microsoft ได้ยอมรับเอาโพรโตคอล IPX ของ Novell เป็นโพรโตคอลเครือข่ายโดยปริยายสำหรับ Windows NT Performance Technology และ Artisoft ได้กลายเป็นไดล์เอนต์สำหรับระบบปฏิบัติการเครือข่ายทุกตัว และ Novell กำลังรุกไล่การเชื่อมต่อของ UNIX
ในทางปฏิบัติ การสนับสนุนหลายโพรโตคอลหมายความว่า ผู้บริหารสามารถปรับแต่งพีซีบนเครือข่ายเพื่อให้ไดร์ฟ F: ของ Dos เป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ของแต่ละเครื่อง ความสามารถนี้มีให้ใช้แล้วในปัจจุบัน แต่ล้วนประกอบต่าง ๆ ต้องถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวัง
ความสามารถในการทำงานร่วมกันและความยืดหยุ่นที่ปรับปรุงขึ้นเป็น เป้าหมายหลักทางการตลาดและทางเทคโนโลยี สำหรับบริษัทซอฟต์แวร์เครือข่ายในกลางทศวรรษ 90 เช่นเดียวกับที่คุณสามารถผสมอแดปเตอร์ Ethernet จากผู้ค้าต่างกันได้ คุณจะสามารถผสมส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการต่าง ๆ และเชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการต่าง ๆ และเชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการต่าง ๆ และเชื่อมโยงที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการต่างกันบนเครือข่ายเดียวกัน ทุกตัวให้บริการแก่ไคลเอนต์เดียวกัน
ในปัจจุบันนี้ ระบบเครือข่ายแลนได้เป็นที่รู้จัก และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายตาม office ของบริษัทต่าง ๆ เพื่อประหยัดในการลงทุนซื้อเครื่องปริ้นเตอร์, ซีดีรอม, โมเด็ม, เครื่องโทรสาร และรวมไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะสามารถแบ่งปันกันใช้ได้ บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบแลน ต่างก็แข่งขันกันในตลาดคอมพิวเตอร์ต่างก็พัฒนาให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพให้ดีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เราก็ควรจะรู้จัก และเข้าใจในระบบแลนให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะติดตั้งระบบแลนเองบ้าง เพื่อจะได้คุณภาพ และประสิทธิภาพตามที่เราต้องการ

วัตถุประสงค์ของระบบ LAN


ระบบ LAN ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันในวงที่ไม่ใหญ่โตนัก โดยจะมีคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ต่อเข้าเพื่อขอใช้บริการ ดังนั้นในระบบ LAN จึงเป็นลักษณะที่ผู้ใช้หลายบุคคลมาใช้ข้อมูลร่วมกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่างๆ ตามหัวข้อต่อไปนี้
    1. แบ่งการใช้แฟ้มข้อมูล
    2. ปรับปรุงและจักการแฟ้มข้อมูลได้ง่าย
    3. แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
    4. สามารถใช้แฟ้มข้อมูลที่อยู่ห่างไกลได้อย่างรวดเร็ว
    5. การแบ่งปันการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ โมเด็ม CD-ROM ฯลฯ
    6. การแบ่งปันการใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์
    7. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
    8. ควบคุมและดูแลรักษาข้อมูลได้ง่าย
    9. สามารถรวมกลุ่มผู้ใช้ ข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็ว
    10. เพื่อการติดต่อสื่อสาร ของผู้ใช้เช่น บริการ Email ,Talk ฯลฯ
ดังนั้น ระบบ LAN จึงเป็นที่นิยมกันในส่วนของ บริษัท สถานศึกษา และหน่วยงาน ต่างๆ มากมาย ซึ่งจะให้ผลที่คุ้มค่าในระยะยาวนาน

การเชื่อมโยง เครือข่ายของระบบ LAN


มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียง โครงข่ายของระบบเครือข่าย (Topology) และ โพรโตคอล ที่ใช้ในระบบ LAN และจะกล่าวถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN และซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในระบบ LAN มีดังต่อไปนี้
    3.1 โครงข่ายของระบบเครือข่าย(Topology)
    3.2 โพรโตคอลที่ใช้ในระบบ LAN
    3.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN
    3.4 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบ LAN
    3.1 โครงข่ายของระบบเครือข่าย (Topology)
    เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายของระบบ LAN วิธีหนึ่ง ซึ่งนิยมใช้กันแพร่หลายสามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน คือ
      3.1.1 แบบดาว (Star)
      3.1.2 แบบวงแหวน (Ring)
      3.1.3 แบบบัส และ ทรี (Bus and Tree)

      3.1.1 แบบดาว (Star)
      ในโทโปโลยี แบบดาว นั้นจะเป็นลักษณะของการต่อเครือข่ายที่ Work station แต่ละตัวต่อรวมเข้าสู่ศูนย์กลางสวิตซ์ เพื่อสลับตำแหน่งของเส้นทางของข้อมูลใด ๆ ในระบบ ดังนั้นใน โทโปโลยี แบบดาว คอมพิวเตอร์จะติดต่อกันได้ใน 1 ครั้ง ต่อ 1 คู่สถานีเท่านั้น เมื่อสถานีใดต้องการส่งข้องมูลมันจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางสวิทซ์ก่อน เพื่อบอกให้ศูนย์กลาง สวิตซ์มันสลับตำแหน่งของคู่สถานีไปยังสถานีที่ต้องการติดต่อด้วย ดังนั้นข้อมูลจึงไม่เกิดการชนกันเอง ทำให้การสื่อสารได้รวดเร็วเมื่อสถานีใดสถานีหนึ่งเสีย ทั้งระบบจึงยังคงใช้งานได้ ในการค้นหาข้อบกพร่องจุดเสียต่างๆ จึงหาได้ง่ายตามไปด้วย แต่ก็มีข้อเสียที่ว่าต้องใช้งบประมาณสูงในการติดตั้งครั้งแรก

      3.1.2 แบบวงแหวน (Ring)
      ในโทโปโลยี(รูปแบบการเชื่อมต่อ) แบบวงแหวน(Ring) นั้น ได้ถูกออกแบบให้ใช้ Media Access Units (MAU) ต่อรวมกันแบบเรียงลำดับเป็นวงแหวน แล้วจึงต่อ คอมพิวเตอร์ (PC) ที่เป็น Workstation หรือ Server เข้ากับ MAU ใน MAU 1 ตัวจะสามารถต่อออกไปได้ถึง 8 สถานี เมื่อสถานีถัดไปนั้นรับรู้ว่าต้องรับข้อมูล แล้วมันจึงส่งข้อมูลกลับ เป็นการตอบรับ เมื่อสถานีที่จะส่งข้อมูลได้รัยสัญญาณตอบรับ แล้วมันจึงส่งข้อมูลครั้งแรก แล้วมันจะลบข้อมูลออกจากระบบ เพื่อให้ได้ใช้ข้อมูลอื่นๆ ต่อไป ดังนั้นทุกสถานีบน โทโปโลยี วงแหวนจะได้ทำงานทั้งหมดซึ่งจะคอยเป็นผู้รับและผู้ส่งแล้วยังเป็นรีพีทเตอร์ ในตัวอีกด้วย ข้อมูลที่ผ่านไปแต่ละสถานี นั้น ข้อมูลที่เป็นตำแหน่งที่อยู่ตรงกับ สถานีใด สถานีนั้นจะรับข้อมูลเก็บไว้ แต่มันจะไม่ลบข้อมูลออกจากระบบ มันยังคงส่งข้อมูลต่อไป ดังนั้นผู้ส่งข้อมูลครั้งแรกเท่านั้นที่จะเป็นผู้ลบข้อมูลออกจากระบบ ครั้นเมื่อสถานีส่ง TOKEN มาถามสถานีถัดไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ สถานีส่ง TOKEN จะทวนซ้ำข้อมูลเป็นครั้งที่สอง ถ้ายังคงไม่ได้รับคำตอบ จึงส่งข้อมูลออกไปได้ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ไม่ให้ระบบหยุดชะงักการทำงานลงของระบบ เนื่องจากสถานีหนึ่งเกิดการเสียหาย หรือชำรุด ระบบจึงยังคงสามารถทำงานต่อไปได้

      3.1.3 แบบบัส (Bus)
      ในโทโปโลยี แบบบัส และทรี (Bus and Tree) นั้นได้มีการทำงานที่คล้ายกันกล่าวคือ แบบบัส จะมีเคเบิลต่อถึงกันแบบขนาน ของแต่ละโหนด ส่วนแบบทรีนั้น จะมีการต่อแยกออกเป็นสาขาออกไปจากเคเบิลที่ใช้แบบบัสนั้นเอง ดังนั้นเมื่อมีการส่งข้อมูลจากโหนดใดทุกๆ โหนดบนระบบข้อมูลจะเข้าถึงได้ เนื่องจากอยู่บนเส้นทางสื่อสารเดียวกัน ในการส่งข้อมูลนั้น จะส่งเป็นเฟรม ข้อมูลซึ่งจะมีที่อยู่ของผู้รับติดไปด้วย เมื่อที่อยู่ผู้รับตรงกับ ตำแหน่งของโหนดใดๆ บนระบบ โหนดนี้จะรับข้อมูลเข้าไป และส่งข้อมูลมาพร้อมกันนั้นจะเกิดการชนกันของข้อมูล แล้วจะสุ่มเวลาขึ้นใหม่เพื่อส่งข้อมูลต่อไป ในการสื่อสารตามมาตรฐาน 802.4 นั้นมีด้วยกัน 3 แบบคือ แบบที่ 1 มีความเร็ว 1 Mbps ใช้สายข้อมูลแบบโคแอกเชียล 75 โอห์ม และสายเคเบิลหลักจะต้องไม่มีการต่อแยกแขนงออกไป ในแบบที่ 2 ซึ่งเรียกกันว่าแบบเบสแบนด์นั้นจะมีความเร็ว 5-10 Mbps ใช้สายแบบเดียวกับแบบที่ 1 แต่สัญญาณภายในจะเข้ารหัสแบบ FSK และแบบที่ 3 หรือ แบบบรอดแบนด์ จะใช้สายทรังก์ ซึ่งสามารถใช้ได้กับความเร็ว 1,5 และ 10 Mbps ซึ่งสัญญาณภายในสายจะเป็นแบบ AM นั้นเอง

    3.2 โพรโตคอลที่ใช้ในระบบ LAN
    โพ รโตคอล คือรูปแบบของการสื่อสารของเครือข่าย คอมพิวเตอร์ ที่ทำให้ Software มีความเข้ากันได้กับ Hardware โพรโตคอลนั้นได้ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานโดย ISO ซึ่งเป็นโมเดลแบ่งออกได้ 7 ระดับคือ PHYSICAL, DATALINK, NETWORK, TRANSPORT, SESSION, PHESENTA และ APPLICATION ตามลำดับ ในระบบ LAN นั้นจะใช้เพียงสองระดับล่างเท่านั้น เนื่องจากว่า LAN สามารถใช้ได้กับ โทโปโลยี ได้หลายแบบนั้นเอง จึงไม่ได้ใช้ระดับที่ 3 ขึ้นไป ในระดับที่ 1 นั้นเป็นระดับที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเป็นบิต เกี่ยวข้องกับระดับแรงกันไฟฟ้า ความถี่ และคาบเวลา ต่างๆ ส่วนระดับที่ 2 นั้นเป็นระดับการแปลงข้อมูลเป็นบล็อก และเฟรม พร้อมทั้งตรวจสอบข้อผิดพลาดด้วย โพรโตคอลที่ใช้กันมากในระบบ LAN นั้นมีอยู่ 2 แบบคือโพรโตคอล แบบโทเก้นบัส และโพรโตคอลแบบ CSMA/CD เป็นต้น
    3.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN
    ใน ระบบ LAN อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงนั้นมีไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เพื่อต่อเชื่อมโยงเครือข่ายเท่านั้น ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 อย่างโดยทั่วๆ ไปดังนี้
      3.3.1 สายนำสัญญาณ
      3.3.2 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN

      3.3.1 สายนำสัญญาณ
      สายนำสัญญาณ นับถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบเครือข่ายที่ทำให้ คอมพิวเตอร์ มีการติดต่อสื่อสารกันในระยะทางที่ไกล สายนำสัญญาณ นั้นมีหลายชนิด มากมายในปัจจุบัน สามารถจำแนกได้ตามคุณสมบัติของสาย สภาพการใช้งาน และความเหมาะสมการใช้งาน สายนำสัญญาณที่ใช้ในระบบ LAN นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นลักษณะต่างๆ คือ สายสัญญาณแบบคู่บิดเกลียว ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นชนิด UTP (Unshield Twisted Pair) เป็นสายคู่บิดเกลียว 4 คู่ใช้ยาวไม่เกิน 100 เมตร สายที่ใช้ แบคโบน นั้น เป็นสายขนาด 25 คู่สายในมัดเดียว รองรับการสื่อสารได้สูงถึง 100 Mbps และ ประเภทที่ 2 ชนิด STP (Shield Twisted Piar) เป็นสายพัฒนามาจากสาย UTP โดยมีชีลด์ห่อหุ้มภายนอก ใช้ข้อมูลการสื่อสารได้ 100 Mbps สาย STP ที่เป็นแบคโบน นี้เป็นสายที่ออกแบบมาให้ไปได้ระยะทางที่ไกลขึ้น สายโคแอกเชียล เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ใช้กันมากเป็นสายนำสัญญาญที่ป้องกันสัญญาณรบกวนได้มากทีเดียว สายชนิดนี้ในระบบบัส และใช้เดินระยะใกล้ๆ และ เส้นใยแก้วนำแสง เป็นสายที่ใช้คลื่นแสง 500 nM-1300nM ส่งผ่านไปยังตัวกลางใยแก้ว ซึ่งจะสะท้อนกลับภายใน ทำให้มีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก ทำให้ได้ระยะทางที่ไกลขึ้นขณะที่ใช้กำลังส่งที่น้อยและมีสัญญาณรบกวนที่น้อย มาก เมื่อเทียบกับ สายนำสัญญาณชนิดอื่นๆ สายชนิดเส้นใยแก้วนำแสงนี้มักใช้เป็นแบคโบน โดยจะรองรับการสื่อสารได้สูงถึง 800 Mbps หรือมากกว่า แล้วแต่ล่ะชนิดที่นำมาใช้

      3.3.2 อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่าย
      อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่ายนั้นมีด้วยกันมากมาย ด้วยคุณลักษณะของการใช้งาน แบบต่างๆ และยังคงได้รับการพัฒนาขึ้นอยู่ตลอดเวลา อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN นั้นได้ยกตัวอย่างที่ พบกันมากดังต่อไปนี้ แผ่นการ์ดเครือข่าย เป็นแผ่นอินเตอร์เฟสสำหรับคอมพิวเตอร์ หรือแผ่นการ์ด NIC มีคุณสมบัติต่างที่ขึ้นอยู่กับชนิดของเครือข่าย และชนิดของคอมพิวเตอร์ อีกด้วย ฮับ (HUP) เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงระหว่างสายตามมาตรฐาน 802.3 นั้นใช้เชื่อมโยงในโทโปโลยี แบบสตาร์ ใช้สาย UTP ยาวไม่เกิน 100 เมตร และยังสามารถขยาย PORT ได้มาก ดีรอมเซิร์ฟเวอร์ (CD-ROM Server) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในเครือข่ายเช่นเดียวกัน เพื่อใช้แบ่งปันการใช้ข้อมูลต่างๆ ใน CD-ROM เอง รีพีตเตอร์ (Repeater)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่าย เพื่อช่วยให้ขยายสัญญาณให้สูงขึ้น ทำให้ส่งข้อมูลหรือสื่อสาร ข้อมูลได้ไกลขึ้นนั้นเอง บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างระบบ โดยที่ บริดจ์ มีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกันคือแบบ Internal Bridge และแบบ External Bridge เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานคล้ายกัย Bridge แต่จะใช้เชื่อมต่อกับระบบที่ใหญ่กว่ามีประสิทธิภาพที่สูงกว่า และความเร็วที่สูงกว่า และ เราเตอร์ (Router) เป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย ที่มีมากกว่า หนึ่งเซกเมนต์ เพื่อกำหนดเส้นทางข้อมูลได้มากขึ้น ต่อไป

    3.4 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบ LAN
    คือ ระบบปฏิบัติการเครือข่ายประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ สามส่วนผลิตภัณฑ์บางชนิด รวมสามส่วนไว้ในโปรแกรมเดียว บางชนิดก็ซับซ้อนกว่า แบ่งงานออกเป็นโมดูล ลายตัว ส่วนแรกเป็นส่วนประกอบอยู่ในระดับล่างสุด กับหน้าที่จัดเตรียมและดูแลการเชื่อมต่อให้คงอยู่ ซอฟต์แวร์ส่วนนี้ ประกอบด้วยโปรแกรม ไดรเวอร์ สำหรับเน็ตเวิร์คอแดปเตอร์ ส่วนที่เหลืออีกสองส่วนหนึ่งคือส่วนที่อยู่ในสถานีงานจะสร้างข่าวสาร การร้องขอ และส่งไปยังไฟล์เซิร์ฟเวอร์ ส่วนซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในระบบ LAN จากดาวถึง 2 โปรแกรม คือ Corbon Copy และ PC Anywhere โดยจะได้อธิบายถึงการทำงานและความสามารถของมัน Corbon Copy นั้นใช้งาน Novell LX และ NetBEUI ส่วน PC Anywhere เวอร์ชัน 4.5 ของบริษัท Norton นั้นเป็นภาพที่ทำงานด้วยเมนู มีการตรวจวิเคราะห์ Hard ware ที่คงอยู่ ลักษณะการทำงานส่วนใหญ่ของโปรแกรมซึ่งจะเกี่ยวกับ การใช้ Hard disk เมื่อเวิร์กสเตชัน ต้องการใช้ข้อมูล ก็ส่งคำสั่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อส่งให้ เซิร์ฟเวอร์ทำงาน แต่ในทางปฏิบัติงาน NetWare กระบวนการในการลำดับงานไม่สามารถกำหนดระดับ ความสามารถ ของงานได้ ดังนั้น งานที่มีการใช้งาน Hard disk มากๆ จะมีผลทำให้ การบริการกับงานอื่นๆ ช้าลงอย่างชัดเจน โปรแกรมที่เหมาะกับระบบ LAN ก็คือ ระบบงานที่ในลักษณะ Client Server ซึ่งจะเป็นการทำงานที่สมบูรณ์ที่สุด

ผลที่ได้จากการทำงานของระบบ LAN


การจัดการแฟ้มข้อมูล (File managent) เป็นการแบ่งใช้แฟ้มข้อมูล (Share file) และสอบถามแฟ้มข้อมูล (Transfer file) การใช้โปรแกรมร่วมกัน (Share application)การใช้อุปกรณ์ภายนอกร่วมกัน (Share Peripheral devices) เป็นเครื่องพิมพ์, ซีดีรอม, เครื่องสแกน,โมเด็มและเครื่องอ่านเขียนเทป และติดต่อกับผู้ใช้คนอื่น ๆ ในเน็ตเวิร์คเป็นค่าตารางเวลาของกลุ่ม (Group Scheduling)รับ และส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ จัดการประชุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเล่นเกมแบบเน็ตเวิร์ค และผลที่ได้จากระบบแลนนี้จะสามารถทำทุกอย่างทัดเทียมกับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือมินิคอมพิวเตอร์ในราคาที่ต่ำกว่า ผู้ใช้สามารถแบ่งปันทรัพยากร และสารสนเทศของคอมพิวเตอร์ และพวกเขายังสามารถทำงานรวมกันในโครงการหรืองานที่ต้องมีการประสานงาน และการติดต่อสื่อสาร แม้จะไม่ได้อยู่บริเวณใกล้กันก็ตาม นอกจากนี้ถ้าเครือข่ายเกิดขัดข้อง คุณก็ยังคงทำงานต่อไปด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาถ้าเกิดการผิดปกติจะทำให้ งานในแผนกหรือบริษัทของเขาหยุดชะงัก แต่แลนสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ คือ
  1. แบ่งปันการใช้ไฟล์โดยการสามารถใช้ข้อมูลเดียวกันถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆตัวได้
  2. การโอนย้ายไฟล์ โดยการโอนสำเนาจากเครื่องหนึ่งไปยังเครื่องหนึ่งโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนดิสเกตต์
  3. เข้าถึงข้อมูล และไฟล์ โดยการจะให้ใครก็ได้ ใช้งานซอฟต์แวร์บัญชี หรือ แอปพลิเคชั่นแลน ทำให้คนสองคนใช้โปรแกรมชุดเดียวกันได้
  4. การป้องกันการป้อนข้อมูลเข้าในแอปพลิเคชั่นพร้อมกัน
  5. แบ่ง ปันการใช้เครื่องพิมพ์ โดยการใช้แลน เครื่องพิมพ์ก็จะถูกแบ่งปันการใช้ตามสถานีหลาย ๆเครื่องถ้าทั้งหมดที่ต้องการคือ การใช้ Printerร่วมกัน

ความหมายของระบบ LAN


ย่อมาจาก Local Aria Network ซึ่งแปลได้ว่า “ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก” ที่ต้องประกอบด้วย Server และ Client โดยจะต้องมีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการและผู้ใช้โดยที่ผู้ให้บริการซึ่งเป็น Server นั้น จะเป็นผู้ควบคุมระบบว่าจะให้การทำให้การทำงานเป็นเช่นไร และในส่วนของ Server เองจะต้องเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสถานะภาพสูง เช่นทำงานเร็ว สามารถอ้างหน่วยความจำได้มาก มีระดับการประมวลผลที่ดี และจะต้องเป็นเครื่องที่จะต้องมีระยะการทำงานที่ยาวนาน เพราะว่า Server จะถูกเปิดให้ทำงานอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเครือข่าย

ในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งานในหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย ซึ่งการนำคอมพิวเตอร์เข้ามานี้เป็นส่วนช่วยให้การทำงานในหน่วยงานต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ และสามารถพัฒนาการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้นี้ในหน่วยงานต่าง ๆ ก็เริ่มมีการพัฒนาขึ้นแทนที่จะใช้ในลักษณะหนึ่งเครื่องต่อหนึ่งคน ก็ให้มีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกัน โดยนำคอมพิวเตอร์มาต่อเชื่อมกัน ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า "ระบบแลน" ความจริงระบบแลนนี้ก็ไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่อะไร เพราะถูกนำมาใช้งานเป็นเวลานานแล้ว แต่จะจำกัดการใช้งานอยู่เฉพาะในกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ในปัจจุบันระบบแลนถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ดังนั้นการใช้งานในระบบแลนซึ่งมีผู้ใช้มากขึ้น จำเป็นจะต้องมีการจัดระบบการใช้งาน และผู้ใช้จำเป็นจะต้องมีความรู้ในระบบแลนที่ตนเองใช้อยู่พอสมควร ซึ่งระบบแลนที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย และทั่วโลก คือ ระบบแลนของเน็ตแวร์ (NetWare)
ในรายงานเล่มนี้จะอธิบายเกี่ยวกับระบบแลนและวิธีการเชื่อมโยง เครือข่ายระบบแลนโดยจะกล่าวถึง ความหมาย วัตถุประสงค์ ผลที่ได้จากการทำงานและแนวโน้มในอนาคต รวมทั้งซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบแลน
หลังจากที่ได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อการนำเสนอรายงานฉบับนี้แล้ว ผู้เขียนได้รับความรู้ และ ความเข้าใจของการทำงานของเครือข่าย LAN โอกาศนี้ขอขอบพระคุณห้องสมุดของ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ ที่ได้ให้ความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของ รายงานฉบับนี้จนลุล่วงไปด้วยดี
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้มีการนำมาใช้งานอย่างกว้างขวาง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้ว ก็ได้ แต่การใช้งานคอมพิวเตอร์ ในลักษณะ Stand Alone หรือการใช้งานคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้หนึ่งคนหนึ่งคนต่อเครื่องหนึ่งเครื่อง ก็ยังพบปัญหาต่างๆ อยู่ เช่น ราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ มีราคาแพง การใช้ข้อมูลไม่สวามารถใช้ร่วมกันได้ ฯลฯ ดังนั้นจึงมีความคิดที่จะนำคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องมาต่อเพื่อใช้งานร่วมกัน ซึ่งจะทำให้สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาะมากขึ้น และยังเป็นการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ผู้ใช้ประสบอยู่
การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็นระบบเครือข่ายเน็ต เวิร์ก จึงมีการนำมาใช้กันมากขึ้นซึ่งจะแบ่งได้เป็น 3 ระบบ คือ ระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คกระยะไกล (Wide Area Network หรือ WAN) ระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คกระยะกลาง (Metropolitan Area Network หรือ MAN) และระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คระยะใกล้ (Local Area Network หรือ LAN) ในที่นี้จะกล่าวถึงระบบ LAN เพียงระบบเดียว ซึ่งระบบนี้เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น ตามอาคารสำนักงานทั่วไป หรือหน่วยงานราชการต่าง ๆ เป็นต้น ระบบเน็ตเวิร์คระยะใกล้ หรือ LAN สามารถติดตั้งได้ง่าย ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง มีข้อผิดพลาดน้อย และลงทุนน้อยกว่าระบบเน็ตเวิร์ค ระยะไกล และ ระยะกลาง ซึ่งทั้ง 2ระบบจะต้องลงทุนสูงเนื่องจากเป็นระบบใหญ่ใช้ติดต่อกันในระดับประเทศเช่น การสื่อสารระหว่างประเทศ เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ server

ขั้นตอนที่ 1 : เตรียมการ - Backup ข้อมูลที่สำคัญในเครื่องที่คิดจะติดตั้ง linux ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน - ถ้ามีเครื่องใหม่ และลง linux อย่างเดียวก็หาแผ่น linux มาลงได้เลย .. เพราะเสียแล้วไม่เป็นไร - ถ้ามี windows อยู่ต้องการลงทั้ง 2 ระบบให้ไปหา partition magic มาแบ่ง partition - แบ่งว่าจะใช้ Windows กี่ GB แต่ linux จะใช้ไม่น้อยกว่า 1 GB โดยปกติ - นั่งคิดให้ดีกว่าจะลง linux ไปทำไม เช่น ศึกษาเป็น work station หรือ เป็น server เป็นต้น - ไปหาโปรแกรม linux ซึ่งผมแนะนำว่าเป็น Redhat เพราะมีคนใช้กันมากที่สุดในโลก
ขั้นตอนที่ 2 : ติดตั้ง - ถ้ามี windows อยู่ให้ใช้ partition magic แบ่ง partition ให้เรียบร้อย - ใช้แผ่น CD Boot แล้ว Enter เขาก็จะถามติดตั้งเลย ถ้า VGA card เป็นที่ยอมรับของ linux ก็จะได้เห็นจอสวย - ถ้าไม่มีสนับสนุนก็ต้องเล่น text mode ไปครับ คนที่ผมรู้จักหลายคน หรือแม้แต่เครื่องที่ผมใช้ ยังใช้ text mode เลย - เมื่อเข้าไปต้องแบ่งอย่างน้อย 2 partition คือ linux partiton และ linux swap - Install ตามขั้นตอน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง (เหมือน windows นั่นหละครับ) - ถ้าโชคดี หลังติดตั้งเสร็จก็จะขึ้นคำว่า Login: มารอให้ป้อนรหัสเข้าสู่ระบบ - มีปัญหาการติดตั้งให้ถามที่ http://linux.thai.net เพราะทีมงานไม่ได้ชำนาญในการแก้ปัญหาทุกกรณี (ประสบการณ์น้อยมาก)
ขั้นตอนที่ 3 : ใช้งาน linux เบื้องต้น (Server) - หัดใช้คำสั่งใน linux ที่ใช้กันบ่อย ๆ ซึ่งผมแนะนำในบทที่ 1 หัดเป็นผู้ใช้ - เมื่อใช้เป็นแล้ว ลอง telnet เข้าไปใช้ server ที่อื่นดูครับ .. สั่งสมประสบการณ์ - สู่บทที่ 2 แต่ต้องทำที่เครื่องตนเองนะครับ เช่น useradd usermod หัดใช้คำสั่งระดับสูงดูครับ - ซอกซอนเข้าไปดูระบบ และคำสั่งต่าง ๆ ยิ่งใช้เวลามาก ยิ่งซึมซับ .. ผมเองยังไม่มีเวลาเลย - วิธีการ config ระบบ ดูทุกแฟ้มที่นามสกุล .conf จะเข้าใจการทำงานของ linux มากขึ้น
ขั้นตอนที่ 4 : ใช้ประโยชน์ Server ก่อนจะ upgrade server - หัดใช้ mail แบบต่าง ๆ ที่ Server ให้บริการ เช่น pop, imap, pine เป็นต้น - หัดเขียน Shell script เพราะจะทำให้โอกาสหน้า สามารถแก้ปัญหาระบบได้หลายเรื่อง - หัดเขียนทำเว็บในเครื่องตนเองด้วย html อย่างง่าย - หัดเขียน CGI เพื่อทำให้เว็บที่พัฒนาขึ้นมา เป็นยอดเว็บ เช่น yahoo, hypermart, pantip เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 5 : Install application - เนื่องจาก server ที่ติดตั้งไป มีบริการที่เป็นมาตรฐาน หากต้องการความสามารถใหม่ ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม - บริการ Webbased mail อย่างง่าย (หัวข้อ 9.71) - บริการ proxy หรือ cache server (หัวข้อ 9.72) - บริการ incoming ใน ftp (หัวข้อ 9.73) - บริการ Apache + php + Mysql (หัวข้อ 9.74) - บริการ SSI (หัวข้อ 9.75) - บริการ Radius (หัวข้อ 9.76 เหมือนเปิดบริการเทียบ ISP เลยครับ) - บริการ Modem (หัวข้อ 9.77 เหมือนเปิดบริการเทียบ ISP เลยครับ)
ขั้นตอนที่ 6 : ความปลอดภัย (Security) - หลายคนบอกว่า ความปลอดภัยเป็นเรื่องแรก แต่ผมว่า server ยัง up ไม่ขึ้น ความปลอดภัยอย่างพึ่งสนเลยครับ - การเป็น System Admin ที่ดี ผมว่าต้องเป็น Hacker ที่ดีด้วย ถึงจะไปด้วยกันได้ (ถ้าไม่รู้ว่า server รั่วอย่างไร จะปิดได้ไง) - อ่านหน่อยครับว่า ถูก hack อย่างไร จะได้เป็นบทเรียน (หัวข้อ 9.51) - อ่านหน่อยครับว่า ปกป้องตัวเองอย่างไร จะได้เป็นบทเรียน (หัวข้อ 9.52) - ป้องกัน hacker มือสมัครเล่นด้วย Restricted shell (หัวข้อ 9.52) - ปิดบริการด้วย TCP wrapper (หัวข้อ 9.54)
ขั้นตอนที่ 7 : เรื่องเฉพาะที่ควรทราบ - ทำให้เครื่องเป็น DNS server (ยังไม่ได้เขียนเป็นจริงจัง) - บริการ Dedicate server (ยังไม่ได้เขียนเป็นจริงจัง) - ทำให้เครื่องมีหลาย IP ในกรณีที่ server ตัวหนึ่งล่ม จะได้ย้ายได้ใน 1 นาที (หัวข้อ 9.10) - Backup ระบบ (หัวข้อ 9.96) แต่ยังไม่ update - ใช้ php เขียนโปรแกรมบริการ mail แข่งกับ hotmail.com (ยังหาเวลาศึกษาไม่ได้) - เปิด free hosting (กำลังพยายาม เพราะระบบยังไม่แข็งพอสู้กับ hacker มืออาชีพ ก็เปิดไม่ได้)
ขั้นตอนการติดตั้ง เมื่อ RedHat 9.0
1. ติดตั้ง linux พร้อม Config ให้ใช้งานเครือข่ายได้
การ install Redhat บ่อยครั้งที่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม จึงต้องหามาจาก CD และใช้คำสั่ง rpm -i ชื่อแฟ้มใน CD ทั้ง 3 แผ่นมีดังนี้ แผนที่ 1, แผนที่ 2, แผนที่ 3
2. #/usr/bin/setup
1. แล้วกำหนด IP ด้วยนตัวเลือก network
2. แล้วเปิดบริการด้วยตัวเลือก system services : httpd,imap,imaps,ipop2,ipop3,kudzu,named,network,pop3s,sendmail,sshd,syslog,vsftpd,xinetd,servers,services
3. copy passwd, shadow, group จาก server ตัวหลัก มาแทนที่ในเครื่องที่ติดตั้งใหม่
4. เพิ่ม IP ใน Server ตัวเดียวด้วย IFCONFIG
5. เปิดบริการ SAMBA server
6. เปิดบริการ DNS server ให้คอมพิวเตอร์ทั้งหมดในเครือข่าย สามารถใช้ชื่อเว็บไซต์ได้ถูกต้อง มิเช่นนั้นต้องใช้ตัวเลข
7. เปิดบริการ sendmail หรือ smtp ให้ผู้ใช้สามารถส่ง e-mail ด้วย outlook ผ่าน server ของเรา
8. แก้ไขแฟ้ม /etc/httpd/conf/httpd.conf เพื่อเปิดบริการต่าง ๆ ของ apache webserver
9. เปิดบริการ FTP server
10. เปิดบริการ Web-based mail ด้วย uebimiau-2.7.2-any.zip
11. เปิดบริการ Web hosting file manager ด้วย easyhost_free.zip
12. เปิดบริการ Virtual hosts
13. เปิดบริการ RADIUS server
14. เปิดบริการ MYSQL server
15. เปิดบริการ DHCP server แจก Dynamic IP

หลักการทำงานของ Proxy Server แบบ NAL

เวลาที่คุณเล่นอินเตอร์เน็ตที่บ้านโดยผ่านโมเด็ม เครื่องพีซีของคุณจะได้รับหมายเลข IP Address มาหมายเลขหนึ่งซึ่งถูกกำหนดจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของ ISP ที่คุณใช้อยู่โดยอัตโนมัติ IP Address ที่ว่านี้คือ IP Address จริงๆ ที่ใช้กันในอินเตอร์เน็ตหรือที่เรียกดันว่า Public IP Address หรือ True IP Address โดยจะถูกใช้เป็น IP Address ชั่วคราวประจำเครื่องของคุณตลอดเวลาที่คุณใช้อินเตอร์เน็ตอยู่ หลักจากที่คุณเลิกใช้อินเตอร์เน็ต IP Address นั้นก็จะถูกดึงคืนเพื่อกำหนดให้ผู้ใช้รายอื่นๆ ต่อๆ ไป
IP Address ที่ได้รับมาจาก ISP คุณสามารถเอามาแชร์ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นอีกที่อยู่ภายในระบบ LAN ได้โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Network Address Translation หรือ NAT ซึ่งมีหลักการคือการแปลงหมายเลข IP Address ของเครื่องลูกข่ายต่างๆ ที่อยู่ภายในแพ็กเก็ต (packet ) ของ TCP-IP ให้กลายเป็น IP Address จริง (ที่ได้รับมาจาก ISP ) ก่อนจะส่งออกอินเตอร์เน็ต และในทำนองกลับกันจะแปลงหมายเลข IP Address ที่อยู่ในแพ็กเก็ตของ TCP-IP ที่ได้รับมาจากอินเตอร์เน็ตให้กลายเป็นหมายเลข IP Address ภายในของเครื่องลูกข่ายเครื่องใดเครื่องหนึ่งก่อนจะส่งต่อให้เครื่องลูกข่าย เครื่องนั้นในระบบ LAN ต่อไป ด้วยหลักการของ NAT นี้เองทำให้เครื่องลูกข่ายในระบบ LAN แต่ละเครื่องสามารถติดต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ เสมือนว่ากำลังเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตโดยตรงเลยที่เดียว เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการของ NAT Router นั่นเอง นอกจากนี้อุปกรณ์ Internet Sharing Device ก็ใช้หลักการของ NAT เช่นเดียวกัน
เทคโนโลยีของ NAT นี้มีชื่อเรียกกันไปหลายอย่าง เช่น เทคนิคการซ่อน IP Address (IP masquerade ) ซึ่งหมายความว่าจะซ่อน IP Address ของเครื่องลูกข่ายไว้ โดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์จากภายนอกหรือภายในอินเตอร์เน็ตจะไม่สามารถรู้ว่า IP Address ของเครื่องลูกข่ายเป็นหมายเลขใด บางคนก็เรียกเทคนิคของ NAT ว่าการแชร์ IP Address ซึ่งหมายถึงการนำเอา IP Address ที่ได้รับจาก ISP นั้นมาใช้ร่วมกันในบรรดาเครื่องลูกข่าย ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “IP Sharer” ที่เราได้ใช้เรียกอุปกรณ์ Internet Sharing Device นั่นเอง สำหรับ IP Address ของเครื่องลูกข่ายที่ใช้ในระบบ LAN มักจะเป็น IP Address กลุ่มพิเศษสำหรับใช้ภายในซึ่งจะต่อออกอินเตอร์เน็ตไม่ได้
ผลพลอยได้ของการใช้ NAT ก็คือช่วยให้การถูกบุกรุกหรือเข้าถึงระบบเครือข่าย (ระบบ LAN ) จากภายนอก (อินเตอร์เน็ต) ทำได้ยากมากขึ้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์จากภายนอก (อินเตอร์เน็ต) จะไม่สามารถติดต่อกับเครื่องลูกข่ายในระบบ LAN ได้โดยตรง แต่สามารถทำได้โดยติดต่อผ่านเครื่อง Proxy Server เท่านั้น
Proxy Server ที่ใช้เทคโนโลยี NAT นี้กำลังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบันและถูกเสนอให้กลายเป็นเทคโนโลยี มาตรฐานอีกด้วย ดังนั้นโปรแกรม Proxy Server รุ่นใหม่ๆจึงใช้เทคนิคนี้กันหมด บางยี่ห้อที่ของเดิมเป็น Proxy Server แบบดั้งเดิมก็เอามาปัดฝุ่นโดยเพิ่มคุณสมบัติของ NAT เข้าไปด้วยทำให้สามารถทำงานได้ทั้ง 2 แบบ

หลักการทำงานของ Proxy Server แบบดั้งเดิม

ภายในตัวของ Proxy Server แบบดั้งเดิมนั้นจะประกอบด้วยโปรแกรมหรือบริการย่อยๆ ที่ไว้รองรับการใช้งานจากเครื่องลูกข่ายประเภทต่างๆ อยู่ 3 ตัวคือ WWW Proxy , WinSock Proxy , SOCKS Proxy ซึ่งรายละเอียดของแต่ละบริการที่ดังนี้
WWW Proxy คือบริการที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับ Web Server ต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต เพื่อให้คุณสามารถที่จะใช้บริการท่องเว็บ หรือดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซท์ต่างๆ โปรแกรมในเครื่องลูกข่ายที่ใช้บริการนี้คือ โปรแกรมบราวเซอร์นั่นเอง บริการนี้จะทำงานคู่กับ เว็บแคชชิ่งด้วย
WinSock Proxy คือบริการที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในอินเตอร์เน็ต ที่ให้บริการประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากในกรณีของ WWW Proxy เช่น บริการรับส่งอีเมล์ , Remote Login (Telnet) หรือ Chat (ICQ , Pirch) เป็นต้น โปรแกรมในเครื่องลูกข่ายที่ใช้บริการนี้ได้แก่ Outlook Express , Telnet , FTP , โปรแกรม Chat (ICQ หรือ Pirch) และโปรแกรมอื่นๆ ที่ใช้โปรโตคลอ WinSock ในกรณีติดต่อ ดังนั้นเครื่องลูกข่ายจะต้องเป็นเครื่องที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows และต้องติดตั้งโปรแกรมพิเศษเพิ่มเติมที่เรียกว่า WinSock Proxy Client เพื่อใช้ในการติดต่อกับบริการ WinSock Proxy ด้วย
SOCKS Proxy คือบริการที่ทำหน้าที่คล้ายๆ กับ WinSock Proxy แต่จะให้บริการกับโปรแกรมในเครื่องลูกข่ายที่ใช้โปรโตคอล SOCKS ในการติดต่อ ซึ่งโดยมากมักจะเป็นเครื่องลูกข่ายที่ไม่ใช้ Windows เช่น ระบบปฏิบัติการ MacOS (แมคอินทอช) หรือ Unix (Linux) เป็นต้น

ที่เครื่องลูกข่ายจะต้องอาศัยโปรแกรมที่สนับสนุนการเชื่อมต่อผ่าน Proxy Server ด้วย ตัวอย่างเช่น โปรมแกรมบราวเซอร์หรือโปรแกรม Windows Media Player จะที่คุณสมบัติในการเชื่อมต่อกับ Proxy Server โดยผ่านบริการ WWW Proxy ได้อยู่แล้ว คุณเพียงแต่ไปกำหนดค่า IP Address พร้อมด้วยหมายเลขพอร์ตใช้ในการเชื่อมต่อกับตัว Proxy Server ในแต่ละโปรแกรมก็ใช้งานได้แล้ว แต่หากคุณใช้โปรแกรมประเภทอื่นๆ ที่ไม่สนับสนุนการเชื่อมต่อผ่าน Proxy Server แล้วคุณจำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมที่เครื่องลูกข่ายที่ชื่อว่า WinSock Proxy Client เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกับบริการ WinSock Proxy แทน

สำหรับโปรแกรม WinSock Proxy Client นั้นโดยทั่วไปจะติดมากับชุดโปรแกรมของ Proxy Server อยู่แล้ว แต่มักจะสนับสนุนเฉพาะบน Windows เท่านั้น ถ้าคุณใช้เครื่องลูกข่ายที่เป็น MacOS หรือ Linux ก็ใช้ไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องหันไปใช้การเชื่อมต่อผ่านบริการ SOCKS Proxy แทน อย่างไรก็ตามโปรแกรมบน Windows บางตัวก็มีความสามารถในการเชื่อมต่อผ่านบริการทั้ง 3 ประเภทได้ ตัวอย่างเช่นโปรแกรม ICQ 2000b เป็นต้น
Proxy Server แบบดั้งเดิมนี้มักถูกออกแบบให้มีคุณสมบัติอื่นๆ เพิ่มเติมอีก เช่น ระบบตรวจสอบและป้องกันไวรัสที่อาจติดมากับไฟล์หรือข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ระบบการห้ามเข้าถึงข้อมูลในเว็บไซท์ที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ หรือระบบควบคุมการใช้งานของเครื่องลูกข่ายต่างๆ ด้วย
จุดอ่อนของ Proxy Server แบบดั้งเดิมคือเรื่องการติดตั้งและใช้งาน เนื่องจากต้องอาศัยการกำหนดค่า IP Address และหมายเลขพอร์ตของเครื่องแม่ข่ายในโปรแกรมบราวเซอร์ที่เครื่องลูกข่ายแต่ละ เครื่อง หรือถ้าเป็นโปรแกรมอื่นๆ ก็ต้องติดตั้งโปรแกรม WinSock Proxy Client ที่เครื่องลูกข่ายทุกเครื่องดังนั้นหากมีการเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยน Proxy Server ก็ต้องตามไปเปลี่ยนที่โปรแกรมทุกตัวในเครื่องลูกข่ายทุกเครื่องด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ Proxy Server แบบนี้ยังมักมีปัญหากับโปรแกรมแปลกๆ ใหม่ๆ บนอินเตอร์เน็ตด้วย เช่น โปรแกรมเกมที่เล่นผ่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งต้องอาศัยการเซ็ตอัพที่เฉพาะเจาะจงลงไป ถ้าโชคร้ายหน่อยก็เล่นไม่ได้เลย ดังนั้นจึงให้ Proxy Server แบบนี้ได้รับความนิยมลดลง และ Proxy Server แบบ NAT นั้นกำลังได้รับความนิยมเข้ามาแทนและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


เว็บแคชชิ่งทำงานอย่างไร
เว็บแคชชิ่งคือการที่เครื่อง Proxy Server ทำการเก็บสำรองข้อมูลของเว็บไซท์ต่างๆ ที่เกิดจากการไปเยี่ยมชมของเครื่องลูกข่ายแต่ละเครื่องไว้ในฮาร์ดดิสก์ซึ่ง เรียกว่า แคช (Cache ) จากนั้นหากมีเครื่องลูกข่ายเครื่องใดที่ต้องการเยี่ยมชมเว็บไซท์เหล่านั้น ซ้ำอีก เครื่อง Proxy Server ก็จะดึงข้อมูลของเว็บไวท์นั้นจากแคชแล้วส่งกลับไปให้แทน ซึ่งเป็นการลดความถี่ในการเข้าถึงข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตได้โดยตรง ในขณะเดียวกันเครื่องลูกข่ายก็จะได้รับข้อมูลเร็วขึ้น เว็บแคชชิ่งจึงเป็นเทคนิคการเพิ่มความเร็วของระบบ ยิ่งถ้าแคชของคุณมีขนานใหญ่เท่าไรแล้วความเร็วของระบบโดยรวมก็จะยิ่งเพิ่ม มากขึ้น อย่างไรก็ตามการเก็บแคชไว้เป็นเวลานานๆ โดยไม่อัพเดทจะทำให้เครื่องลูกข่ายได้รับข้อมูลที่ไม่อัพเดทตามไปด้วย ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องของความถี่หรือนโยบายในการอัพเดทข้อมูลใน แคชของคุณด้วย โดยทั่วไปตัวซอฟต์แวร์ของ Proxy Server จะมีเมนูให้คุณใช้สำหรับจัดการกับแคชของคุณได้ อย่างไรก็ตามบางเว็บไซท์หรือบางเว็บเพจถูกสร้างขึ้นเฉพาะสำหรับการเรียกดู แต่ละครั้ง เช่น สร้างจากโปรมแกรม CGI หรือ APS ที่อยู่บน Web Server นั้นๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะใช้คุณสมบัติของเว็บแคชชิ่งได้ อย่างนี้เว็บแคชชิ่งก็ช่วยในเรื่องของความเร็วไม่ได้
Proxy Server ที่มีความสามารถทางด้านเว็บแคชชิ่งโดยมากจะเป็น Proxy Server แบบเดิม ซึ่งได้แก่ WinGate , WinRoute (ในโหมดของ Proxy Server ) , Microsoft Proxy Server 2.0 ที่รันบน Windows NT Proxy Server 4.0 และโปรแกรม Squid ที่รันบน Linux หรือถ้าเป็น Windows 2000 Server หรือ ISA Server ให้เลือกใช้ได้เช่นกัน
สำหรับ Proxy Server แบบ NAT (โปรแกรม ICS , WinGate , WinRoute ในโหมดของ ENS-Pltgin และอุปกรณ์สำหรับแชร์อินเตอร์เน็ตชนิดต่างๆ) นั้นโดยมากจะไม่มีคุณสมบัติของเว็บแคชชิ่งอยู่ ดังนั้นความเร็วในการดึงข้อมูลจึงอาจจะสู้แบบแรกไม่ได้แต่ก้ไม่ถึงกับช้ามาก อะไรนัก จัดว่าจัดว่าอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีที่เดียว นอกจากนี้หากคุณต้องการคุณสมบัติของเว็บแคชชิ่งจริงๆ แล้วจึงสามารถติดตั้งโปรแกรมที่ช่วยในการทำเว็บแคชชิ่งส่วนตัวที่เครื่อวลูก ข่ายได้ ตัวอย่างเช่นโปรแกรม NetSonic ที่เป็น Freeware และสามารถดาวน์โหลดได้ตามเว็บไซท์ทั่วๆไป นอกจากนี้ในตัวโปรแกรมบราวเซอร์เองยังมีการจัดเก็บแคชในตัวเองอยู่ด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงเว็บไซท์ได้ในระดับหนึ่ง

ประเภทของ Proxy Server

Proxy Server แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ
1. Proxy Server แบบดั้งเดิม คือ Proxy Server ที่ใช้เทคนิคสมัยเก่าหรือสมัยที่เริ่มจะมีProxy Server ออกมาให้ใช้กัน ซึ่งเป็นเทคนิคที่ผมได้อธิบายไว้ในคำนิยามของ Proxy Server ในหัวข้อก่อนหน้านี้ นั่นเอง ตัวอย่างโปรแกรมประเภทนี้ได้แก่ โปรแกรม Microsoft Proxy Server ของบริษัทไมโครซอฟท์ (ทำงานบน Windows NT Server 4.0 ) , WinGate ของบริษัท Qbik หรือ Netscape Proxy Server ของบริษัท Netscape (ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนใช้แล้ว) Proxy Server แบบนี้หากใช้ให้บริการประเภทการท่องเว็บหรือดาวน์โหลดไฟล์ผ่านโปรแกรมบราว เซอร์แล้ว มักจะมีการเก็บสำเนาข้อมูลหรือบริการต่างๆที่ได้รับมาจากการใช้บริการของ เครื่องลูกข่ายต่างๆในช่วงก่อนหน้านี้ไว้ในฮาร์ดดิสก์ซึ่งเรียกว่าแคช ( Cache ) ประโยชน์ของแคชก็คือช่วยลดภาระการทำงานของ Proxy Server ที่ต้องไปดึงข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตตามคำร้องขอของเครื่องพีซีต่างๆโดยไม่จำ เป็น กล่าวคือ หากเครื่องพีซีเครื่องใดเครื่องหนึ่งต้องการข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้ว Proxy Server จะมาค้นดูใน Cache ก่อนหากพบว่ามีอยู่แล้วก็จะดึงข้อมูลนั้นส่งกลับไปให้เครื่องลูกข่ายนั้นได้ ทันที ทำให้เครื่องลูกข่ายได้รับข้อมูลในเวลาที่เร็วขึ้น ดังนั้น Proxy Server จะไปดึงข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตในกรณีที่ข้อมูลที่ต้องการไม่มีใน Cache เท่านั้น วิธีดังกล่าวนี้ภาษาทางเทคนิคจะเรียกว่า “ เว็บแคชชิ่ง” (Web Caching )


2. Proxy Server แบบ NAT คือ Proxy Server สมัยใหม่ที่ใช้เทคนิคเรียกว่า NAT (Network Address Translation ) หรือที่เรียกว่า IP Masquerade ความจริงแล้ว Proxy Server แบบนี้ไม่ตรงกับคำจำกัดความที่ผมให้ไว้ในตอนแรกเท่าไรนัก แต่เพื่อความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบจึงพออนุโลมให้เรียกว่า Proxy Server ได้ สิ่งที่ทำให้ Proxy Server แบบนี้มีพฤติกรรมไม่ตรงกับคำจำกัดความของ Proxy Server ก็คือหลักการทำงานของมันที่ใช้เทคนิคที่เรียกว่า NAT นั่นเอง (รายละเอียดจะอธิบายต่อไป) ตัวอย่างโปรแกรมประเภทนี้คือโปรแกรม WinGate รุ่นใหม่ๆ (ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า ENS Plug – in เพิ่มเติม) หรือโปรแกรม ICS (Internet Connection Sharing ) ที่อยู่ในตัว Window รุ่นใหม่ๆ ตั้งแต่ Window 98 Se

Proxy Server

พร็อกซี่ เซิร์ฟเวอร์(Proxy server)หรือ NAT server คือ เครื่องที่อยู่ตรงกลางระหว่างเครื่องลูกกับอินเทอร์เน็ต เพราะเครื่องลูกในเครือข่ายทั้งหมดจะไม่ติดต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง เมื่อเครื่องลูกเรียกดูข้อมูล จะส่งคำขอให้เครื่อง Proxy server และค้นหาข้อมูลนั้นใน เครื่อง Proxy server ว่ามีหรือไม่ หากมีก็จะส่งกลับไปให้เครื่องลูก โดยไม่ออกไปหาจากแหล่งข้อมูลจริง เพราะข้อมูลนั้นถูกเก็บในหน่วยความจำของเครื่อง Proxy server แล้ว จึงเป็นการลดภาระของระบบเครือข่าย ที่จะออกไปนอกเครือข่ายโดยไม่จำเป็น จะเห็นว่า Proxy server ทำหน้าที่เป็น Cache server ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่ผู้ใช้เคยร้องขอ หากมีการร้องขอข้อมูลที่ไม่มีใน proxy ก็จะออกไปหาในอินเทอร์เน็ต แล้วนำกลับมาเก็บใน cache เมื่อผู้ใช้ท่านอื่นต้องการ ก็จะนำจาก cache ไปใช้ได้ทันที สำหรับ Proxy server ที่นิยมใช้ใน Linux เช่น Squid มักให้บริการที่ port 3128 เป็นต้น Proxy server คือ เครื่องบริการที่ทำหน้าที่แปลง address ของเครื่องต้นทางเมื่อมี package ส่งไปยัง local host หรือแปลง address ปลายทาง เมื่อมี package ส่งไปยัง localhost โดยลักษณะที่ชัดเจนของ proxy server คือการทำ caching ทำให้ local host เข้าถึงข้อมูล ซ้ำ ๆ กันได้โดยตรงจากเครื่องบริการ ใน local network ไม่ต้องออกไปนอกเครือข่ายโดยไม่จำเป็น

NAT (Network Address Translation) คือ คุณสมบัติหนึ่งของการแจก IP หรือการทำ IP Sharing เพราะในเครือข่ายขนาดใหญ่จะใช้ Local IP หรือ Fake IP แต่จะมี Real IP อยู่บางส่วน โปรแกรมเครื่องบริการบางโปรแกรมมีหน้าที่กำหนด Local IP ให้เครื่องลูก เมื่อเครื่องลูกต้องการออกไปอ่านข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ก็จะใช้ Real IP ออกไป จากลักษณะดังกล่าง อาจทำให้เครื่องที่เป็น NAT server ทำหน้าที่เป็น Firewall ปกป้องเครื่องลูก เพราะจะไม่มีใครทราบ Local IP ของเครื่องในองค์กรได้ เนื่องจากการออกไปสู่อินเทอร์เน็ตจะใช้ IP ของ NAT server เสมอ จึงไม่มีใครเจาะเข้าสู่เครื่องลูกได้โดยตรง การเป็น NAT server อาจไม่จำเป็นต้องใช้คุณสมบัติ Cache server ก็ได้ เพราะเครื่องที่เป็น Proxy server ที่มีศักยภาพต่ำ จะล่มได้เร็วกว่าเครื่องที่ทำหน้าที่เป็น NAT เพียงอย่างเดียว สำหรับโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็น NAT server เช่น WinGate, WinRoute, WinProxy หรือ ICS(Internet Connection Sharing) เป็นต้น

Mail Server บนระบบปฏิบัติการ Linux

ทฤษฎี
MTA (Mail Tranfer Agent)
ใน การส่ง E-mail นั้นจะต้องอาศัย Protocol ที่ชื่อ SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) เป็นตัวกลางในการรับและส่ง E-mail แต่ละฉบับ โปรแกรมที่ทำหน้าที่คอยรับการสื่อสารทาง SMTP นั้นมีหลายตัวด้วยกัน เช่น Sendmail, Postfix, qmail, smail, Microsoft Exchange, Lotus Note เป็นต้น โดยปรกติ SMTP จะรอรับการติดต่ออยู่ที่ Port 25 อยู่แล้ว


คำ ศัพท์ Mail server Server ที่ทำหน้าที่รับส่ง E-mail โดยปรกติแล้วที่ Mail Server จะต้องรันโปรแกรม (service) ประเภท MTA ไว้ เพื่อรับการติดต่อที่ Port 25 MTA ย่อมาจาก Mail Tranfer Agent คือโปแกรมที่ทำหน้าที่รับส่ง E-mail กับ Mail-Server ต่าง โดยจะทำงานผ่าน Simple Mail Tranfer Protocol Mail Client เป็นโปรแกรมที่เอาไว้รับและส่ง E-mail เช่น Outlook Express, Pine, Eudora เป็นต้น

เมื่อผู้ใช้งานส่ง E-mail เมื่อผู้ใช้งาน Sivawut บน Domain sivawut.org ต้องการส่ง email ถึง Prachya บนDomain crma.ac.th โดยปรกติ Sivawut จะต้องใช้โปรแกรมส่ง E-mail เช่น Outlook Express ทำการส่ง E-mail Address เมื่อกดส่ง โปรแกรมจะเข้าไปดูว่า Outgoing นั้นใช้ช่องทางไหน (outgoing คือ ข้อมูลที่บอกว่าจะใช้ mail server ที่ไหนเป็นตัวส่ง E-mail ) ซึ่งปรกติแล้ว Outgoing จะเป็น address ของ mail server ที่เรามีบัญชีใช้งานอยู่ ซึ่งในที่นี้ก็คือ mail.sivawut.org นั่นเอง เมื่อเจอ outgoing Mail โปรแกรม OutlookExpress ก็จะส่ง mail ไปยัง Outgoing Mail ของเรา

เมื่อ mail ถูกส่งถึง outgoing mail แล้ว outgoing ก็ดูว่า จดหมายเราจ่าหน้าไปที่ใด e-mail server ก็จะไปถาม DNS ว่า domain ที่จะส่งไป มี mail server ชื่ออะไร จากนั้นก็จะส่งไปที่ Mail server ที่จ่าหน้าไปถึง กรณีที่ E-mail Server ที่เราจ่าหน้าไป ไม่มีตัวตนอยู่ หรือเครื่องปิด หรืออาจะไม่รับ Mail จากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก E-mail ฉบับนั้นจะถูกตีกลับมายังผู้ส่ง เมื่อ E-mail ไปถึง Server ปลายทางแล้ว ก็จะเข้าไปอยู่ใน Mailbox ของผู้ใช้แต่ละคน ตามที่จ่าหน้าไปถึง ด้วยหลักการนี้ ทำให้เราสามารถส่ง E-mail กันถึงได้ทั่วโลก เพียงแค่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
POP3 (Post Office Protocol Version 3)
หากเราต้องการจะส่ง e-mail ได้นั้นจะต้องมีชื่อบัญชีผู้ใช้บนเครื่องซึ่งเราต้อง login เข้าไปในเครื่อง mail server โดยตรง ดังนั้นทุกครั้งที่เราต้องการอ่าน Mail เราต้อง Login เข้าไปที่เครื่อง Mail Server ทุกครั้ง ซึ่งเป็นความไม่สะดวกอย่างยิ่ง จึงได้มีคนพัฒนา Protocol ตัวใหม่ขึ้นมาชื่อ Post Office Protocol ( POP ) ซึ่งตอนนี้ถึง Version 3 (POP3) เพื่อใช้ในการ ดึงเอา Mail จาก Mail server ที่เรามีชื่อบัญชีอยู่ มาเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเอง


POP3 (Post Office Protocol version 3) ทำให้เราสามารถ Download e-mail จาก mail server มาเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเองได้

IMAP4 (Internet Message Access Protocol Version 4)
IMAP เป็น Protocol ที่เอาไว้ใช้ในการ อ่านและเขียนจดหมายอีกตัวหนึ่งที่มีมาเพื่อแก้ปัญหาข้อด้อยของ POP กล่าวคือ POP จะทำการดึงจดหมายจาก Mail Server มาเก็บไว้ที่เครื่องผู้ที่ใช้งาน เมื่อเราดึง Mail มาแล้ว หากเราต้องการอ่าน E-mail ฉบับนั้นอีกแต่ไม่ได้อยู่บนเครื่องเดิม หากเราใช้คอมพิวเตอร์อีกเครื่องดึงเมล์เพื่อมาอ่านอีก เราจะพบกับความว่างเปล่า เพราะว่า E-mail ของเรา ที่ Mail Server ได้ถูกดึงมาอ่านไปที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกเรียบร้อยแล้ว
IMAP จึงถูกออกแบบมาเพื่อแก็ปัญหานี้ กล่าวคือ การทำงานของ IMAP นั้น จะเป็นการ Access เข้าไปโดยตรงที่ MailBox ของเรา ทำให้เราสามารถ อ่าน เขียน ลบ E-mail ของเราได้จากคอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้ เพราะ E-mail ของเรา จะอยู่ที่เครื่อง Mail Server ตลอดเวลา ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึง
Web based Mail
เมื่อ Internet ได้แพร่หลายไปทุกหน่วยงาน และความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสารด้วยการใช้ E-mail มากขึ้น ทำให้ E-mail ได้เข้าไปมีบทบาทแทบทุกองค์กร ในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ความต้องการในการใช้ E-mail ในทุกๆที่นั้นได้เพิ่มมากขึ้น สืบเนื่องมาจากการพัฒนาของ HTML และการทำ Dynamic Web ด้วย CGI จึงได้มีผู้คิด Webbased Mail ขึ้นมา เพื่อตอบสนองข้อจำกัดของ POP3 และ การต้อง Login เข้าเครื่อง Mail Server โดยตรง เพื่อลดความยุ่งยากในการใช้โปรแกรม Mail Client ที่หลากหลาย และความยุ่งยากในการปรับตั้งค่าการทำงานของโปรแกรมและความปลอดภัย Webbased-Mail จึงได้กำเนิดขึ้นมา

การทำงานของ Webbased Mail จะใช้ Web Interface เป็นตัวติดต่อกับผู้ใช้งาน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง MailBox จากที่ไหนก็ได้ ขอเพียงแค่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Internet ให้ได้ก็พอ และในปัจจุบันได้มี Website หลายๆที่ ได้ให้บริการ Free Webbased-Mail กันมากมายเช่น Yahoo Mail, GMail, Hotmail, ThaiMail เป็นต้น เหล่านี้คือ Webbased Mail ทั้งสิ้น
ในระบบปฎิบัติการ Linux หากเราต้องการเปิดให้บริการ Webbased Mail นั้นก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ติดตั้ง Web server และ Protocol IMAP จากนั้นก็พัฒนา Webmail Interface ขึ้นมาเองโดยใช้ Server-side Script อย่าง PHP ในการบริหารจัดการกับ MailBox ก็ได้ ซึ่งวิธีที่กล่าวมาค่อนข้างจะยุ่งยากพอสมควร
ในปัจจุบันได้มี Software Opensource บ้างตัวได้แจก Webmail Interface ให้นำไปใช้งานและปรับแต่งได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้ใช้งานเพียงแค่ ติดตั้งระบบ Mail Server และ Web Server ให้เรียบร้อย จากนั้นนำ Webmail Interface มาติดตั้ง ก็สามารถใช้งานได้ทันที เช่น www.squirrelmail.org
ตัวอย่าง Interface ของ SquirrelMail ตัวอย่าง Interface ของ SquirrelMail
www.openwebmail.org
ปฏิบัติ
ในขั้นตอนนี้ผู้อ่านเข้าใจทฤษฎีการทำงานของ mail server กันเรียบร้อยแล้ว ภาคต่อไปจะเป็นการติดตั้งและปรับแต่งระบบ mail server บน Linux ก่อนอื่นเราต้องมาดู software ที่เราต้องใช้กันก่อน 1. SMTP service 2. POP Service 3. E-mail client สำหรับโปรแกรมที่ไว้บริการ mail server นั้นได้มีอยู่หลายตัวด้วยกัน แต่ในการใช้งานในตัวอย่างนี้ จะใช้โปรแกรม Postfix ซึ่งเป็น mail server ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ตัวหนึ่ง ซึ่งสามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก http://www.postfix.org
ซึ่งโดยปรกติแล้ว หากเราติดตั้ง Linux แบบมาตรฐาน Package เหล่านี้จะถูกติดตั้งและ start เรียบร้อยแล้ว เราสามารถตรวจดูได้ด้วยการ telnet เข้าไปที่ port 25 หากมีการตอบรับ แสดงว่าได้มีการติดตั้งและใช้งาน SMTP แล้ว


หากแสงผลว่า Trying 127.0.0.1... telnet: Unable to connect to remote host: Connection refused แสดงว่า ยังไม่ได้มีการติดตั้ง Postfix หรือ อาจจะติดตั้งแล้วแต่ไม่ได้เรียกการทำงานของ Postfix ขึ้นมา หากได้ทำการติดตั้ง Postfix ไปแล้ว ให้เข้าไปดูที่ /etc/init.d/ แล้วให้หา init scripts ที่ชื่อว่า postfix แล้ว start ขึ้นมา โดยใช้คำสั่ง
1. /etc/init.d/./postfix start

หากไม่พบ postfix init scripts ใน /etc/init.d แสดงว่ายังไม่ได้ทำการติดตั้ง postfix ให้ทำการ download และติดตั้ง โดยดาวโหลดได้จาก http://www.postfix.org
ขั้นตอนการ Download และติดตั้ง Postfix

1.เข้าไป download postfix จาก http://www.postfix.org/download

2.ทำการแตกไฟล์ ด้วยคำสั่ง #tar –xvzf postfix*.tar.gz

3. #cd postfix

4. #./configure //รัน Script configure เพื่อเตรียมการ compile

5. #make //คอมไฟล์ source code

6. #make install //ติดตั้งโปรแกรม

7. #/etc/init.d/./postfix start //start postfix daemonการปรับแต่งค่า

เราเริ่มต้น Postfix หลังจากติดตั้งแล้วนั้น จริงๆแล้วโปรแกรมก็สามารถทำงานได้แล้ว เพียงแต่ว่าโปรแกรมยังไม่สามารถทำงานได้ถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพนัก Postfix จะได้แค่ส่งเมล์ออก จะไม่สามารถรับ mail จากภายนอกได้ ฉะนั้น เราจึงต้องทำการปรับแต่งค่า เพื่อให้โปรแกรมทำงานได้ตามที่เราต้องการ
โดยมาตรฐานแล้ว เมื่อเราติดตั้ง Postfix เสร็จเรียบร้อย ตัวโปรแกรมจะสร้าง directory ที่เอาไว้เก็บ configuration file ไว้ที่ /etc/postfix ซึ่งใน directory นี้จะมีไฟล์ที่สำคัญต่อระบบด้วยกันอยู่จำนวนหนึ่ง ไฟล์ที่สำคัญที่สุดได้แก่ไฟล์ main.cf ในไฟล์นี้จะประกอบไปด้วยค่าต่างๆที่ไว้สำหรับให้โปรแกรม postfix มาอ่าน เพื่อนำไปตั้งค่าให้กับโปรแกรม
หากเราไม่ทำการแก้ไขค่าใน main.cf เราจะได้แค่ส่งเมล์ออก แต่ไม่สามารถรับเมล์เข้าได้ หากเราต้องการให้ mail server ของเรารับ mail จากที่อื่นได้ เราต้องไปกำหนดชื่อ mail server ใน DNS ก่อน หากในระบบของเราไม่มี DNS server เราก็ต้องใช้หมายเลข ip ของเครื่องเมล์ Server แทนและจะต้องเข้าไปแก้ไขไฟล์ main.cf โดยเข้าไปแก้ไขบรรทัด inet_interfaces = localhost ให้เป็น inet_interfaces = all
โดยใช้คำสั่ง #vi /etc/postfix/main.cf จากนั้นก็ทำการแก้ไขข้อความตามปรกติ แล้วทำการ save และทำการ restart postfix ด้วยคำสั่ง #/etc/init.d/./postfix restart

เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ mail server ของเราก็พร้อมทำงานแล้ว
MTA (Mail Tranfer Agent)ตัวอื่นๆ
ในการจัดตั้ง Mail Server ขึ้นมานั้น ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องใช้ Postfix เพียงอย่างเดียวก็ได้ ในอดีต Sendmail, http://www.sendmail.org เป็น MTA ตัวหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานของ Linux ก็ว่าได้ เพราะ Linux แทบทุก distro จะติดตั้ง Sendmail เป็น Package มาตรฐานมาให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความยุ่งยากและต้องอาศํยความรู้ความเข้ใจอย่างสูงในการปรับแต่งค่า ของ Sendmail ทำให้ได้มีการพัฒนา Postfix ขึ้นมา และในปัจจุบัน Postfix ก็ได้พัฒนาจนหลายๆ distro ได้ติดตั้งให้เป็น Package มาตรฐานไปแล้ว

ยังมี MTA อีกหลายตัวที่มีประสิทธิภาพสูงและยังใช้งานได้ฟรีอีกเช่น
Qmail http://www.qmail.org
Exim http://www.exim.org
Courier http://www.courier-mta.org/
เป็นต้น

Mail Server

Mail Server คือ เครื่องบริการรับ-ส่งจดหมายสำหรับสมาชิก บริการที่มีให้ใช้เช่น ส่งจดหมาย รับจดหมาย ส่ง attach file หรือการมี address book เป็นต้น ตัวอย่าง mail server ที่เป็นที่รู้จักทั่วไป เช่น hotmail.com หรือ thaimail.com เป็นต้น
Mail Server จะเป็นการผสมระหว่าง Application Server กับ File Server เพราะผู้ใช้บริการไม่เพียงส่งข้อความในตัว message เท่านั้น แต่เป็นการส่งไฟล์แนบไปด้วย Application Software ที่รู้จักกันคือ MS Exchange Server , Lotus Domino Server

วิธีติดตั้ง APACHE web server

อาปาเช่ (Apache Web Server) คือ เครื่องบริการเว็บ (Web Server) ที่พัฒนาโดยมูลนิธิอาปาเช่ (Apache Software Foundation) ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เปิดบริการพอร์ท 80 (HTTP Port) ให้ผู้ร้องขอได้เชื่อมต่อผ่านโปรแกรมประเภทเว็บบราวเซอร์ โปรแกรมถูกพัฒนาให้ทำงานบนระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย และเป็นแบบโอเพนท์ซอร์ท (Open Source) มักถูกติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ จากการไม่เสียค่าลิขสิทธิ์ในการใช้งาน มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมีผู้ใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน


+ Download : mirror.in.th หรือ apache.org :: แนะนำ การใช้ apache ใน windows เวอร์ชั่นต่าง ๆ และ FAQs ส่วนการใช้ apache ใน Windows XP จะต้องติดตั้ง SP 1 และ SP 2 ก่อน :: เอกสารแนะนำ How to install php in apache หรือ Using Apache with Microsoft Windows :: เอกสารเกี่ยวกับ Apache รุ่น 1.3 และรุ่น 2.0 :: รายละเอียดจาก php.net เรื่อง php สำหรับ apache 2.0 :: แฟ้มที่มีสกุล .msi (Microsoft installer) ในห้อง WinMe ขึ้นไปไม่มีปัญหา แต่ถ้า Win98 ต้องหามาติดตั้งเพิ่ม InstMsi.exe 1.1

in WindowsXP with apache 2.0
เมื่อติดตั้ง apache 2.0 ใน WindowsXP ที่มุมล่างขวาของ Task bar จะมีภาพแสดง icon ดังภาพด้านล่างนี้
.
in Windows98 with apache 1.3
เมื่อติดตั้ง apache 1.3 จะต้องสั่ง start apache console เหมือนใน DOS mode และต้องไม่ close จอนี้จะครับ ให้เลือก Minimize แทน
.
ทดสอบเปิดเว็บ
หลังติดตั้งจะทำให้เครื่องเป็น Web Server สามารถทดสอบเปิด http://localhost หรือ http://127.0.0.1


ตัวอย่างการใช้บริการของ Apache ทำการ Lock Directory ด้วย .htaccess และ .htpasswd
1. สร้างแฟ้ม .htpasswd ด้วย htpasswd -b -d -c .htpasswd uhello psecret แล้วส่งเข้าห้อง c:\thaiabc
2. เพิ่มบรรทัดข้างล่างนี้ในแฟ้ม .htaccess ซึ่งอยู่ในห้องที่ต้องการ Lock
AuthUserFile c:\thaiabc\.htpasswd
AuthName "Secret directory is protected by User and Password : "
AuthType Basic
require valid-user
DirectoryIndex index.html index.htm index.shtml index.php Manual starting of Apache 2.0
C:\apache\apache2\bin\Apache.exe -k install
C:\apache\apache2\bin\Apache.exe -w -n "Apache2" -k start
explorer http://127.0.0.1
C:\apache\apache2\bin\ApacheMonitor.exe

โปรแกรมที่ทำงานเป็น web server เช่น

Apache เป็นโปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่มีความสามารถสูงและเป็นที่นิยมใช้มากที่สุดใน ปัจจุบัน สามารถทำงานได้หลายระบบปฏิบัติการ เช่น ระบบ Unix, Linux, FreeBSD, Windows ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.apache.org

IIS (Internet Information Server) เป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟต์ ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows NT 4.0, Windows 2000, Windows XP และ Windows Server 2003 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.microsoft.com

Jakata Tomcat เป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ทดสอบสริปต์ JSP(JavaCourseKasetsart Server Page)

หลักการทำงานของ Web Server

Apache webserver จะเป็นโปรแกรมที่รันเป็น Background process และคอยรับข้อมูลที่ port 80 คำว่า port ในที่นี้จะหมายถึง หมายเลขอ้างอิง ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างโปรแกรมกับโปรแกรมใน protocol TCP/IP โดยที่ฝั่งที่ต้องการข้อมูล เช่นในกรณีนี้ก็จะเป็นโปรแกรม browser จะอ้างชื่อ URL (Uniform Resource Locator) เป็นลักษณะ http://www.thailinux.com โดย http:// จะบอกว่าเป็น Hypertext transfer protocol ซึ่งเป็นรูปแบบการรับ-ส่ง ข้อมูลแบบหนึ่ง โดยข้อมูลส่วนใหญ่ ก็จะเป็น text ที่อยู่ในรูปแบบของ Html (Hypertext markup language) และรูปภาพที่อยู่ใน Format ของ .gif หรือ .jpg

Web Server

เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องบริการเว็บแก่ผู้ร้องขอด้วย โปรแกรมประเภทเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) ที่ร้องขอข้อมูลผ่านโปรโตคอลเฮชทีทีพี (HTTP = Hyper Text Transfer Protocol) เครื่องจะส่งข้อมูลให้ผู้ร้องขอในรูปของข้อความ ภาพ เสียง หรือสื่อผสม เครื่องบริการเว็บจะเปิดบริการพอร์ท 80 (HTTP Port) ให้ผู้ร้องขอได้เชื่อมต่อผ่านโปรแกรมประเภทเว็บบราวเซอร์ เช่น โปรแกรมอินเทอร์เน็ตเอ็กโพเลอร์ (Internet Explorer) หรือฟายฟร็อก (FireFox Web Browser) แล้วแจ้งชื่อที่ร้องขอในรูปของที่อยู่เว็บ (Web Address หรือ URL = Uniform Resource Locator) เช่น http://www.google.com หรือ http://www.thaiall.com เป็นต้น โปรแกรมที่นิยมนำใช้เป็นเครื่องบริการเว็บ ได้แก่ อาปาเช่ (Apache Web Server) และไมโครซอฟท์ไอไอเอส (Microsoft IIS = Internet Information Server) ส่วนบริการที่มักติดตั้งเพิ่มเพื่อทำให้เครื่องบริการทำงานได้ตรงกับความ ต้องการของผู้บริหารระบบ (Administrator) เช่น ตัวแปลภาษาสคริปต์ ระบบฐานข้อมูล ระบบจัดการผู้ใช้ เป็นต้น

Application Server

Application Server คือ เซิร์ฟเวอร์ที่รันโปรแกรมประยุกต์ได้ด้วย โดยการทำงานสอดคล้องกับไคลเอ็นต์ เช่น Mail Server (รัน MS Exchange Server) Proxy Server (รัน Proxy Server) หรือ Web Server (รัน Web Server Program เช่น Xitami , Apache )
ใช้ในการประมวลคือมันจะมาประมวลผลที่ Client ทำให้ลดภาระการประมวลผลที่ Server ลงได้ เหมาะกับงานที่ไม่ต้องใช้ประสิทธิภาพ Server สูงมากนัก
Application Server ที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบันมีหลากหลาย ซึ่งมุ่งเน้นพัฒนาในแต่ละด้านต่างกันมี Application Server ที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ในด้านของค่าลิขสิทธิ์ software หากต้องการนำมาติดตั้ง ใช้งาน Application Server บางชิ้นไม่สามารถทำงานได้ในหลากหลาย platform หลายชิ้นมีประสิทธิภาพในการทำงานไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้งาน

JBoss มีคุณสมบัติต่างๆที่น่าสนใจสำหรับนำมาใช้งานที่สามารถตอบสนองความต้องการได้ อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นทางด้าน web service การออกแบบที่เป็น Enterprise มีกลไกการทำงานที่ไม่สลับซับซ้อนแต่ได้ประสิทธิภาพสูง มี service ต่างๆรองรับการใช้งาน รวมทั้งมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอื่นๆ ทำให้ JBoss เป็น Application Server ที่น่านำมาศึกษาและทดลองใช้งาน

J2EE ย่อมาจากคําว่า Java 2 Enterprise Edition คือ กลุ่มของชุดคําสั่งภาษาจาวา ที่จําเป็นสําหรับการใช้ภาษาจาวาสร้างโปรแกรมระดับองค์กร

ซึ่งภาษาจาวาเป็นภาษาที่รวมเทคโนโลยีที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับการเขียนโปรแกรม ในระดับองค์กรเข้าไว้ในตัวมันเลยตั้งแต่ต้น ชุดคำสั่งที่อยู่ในชุดของ J2EE เรียกได้ว่า ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่โปรแกรมระดับองค์กรต้องการ ดังนั้นการเขียนโปรแกรมระดับองค์กรด้วย J2EE จึงไม่จำเป็นจ้องมีซอฟท์แวร์สนับสนุนใดๆอีก โปรแกรมทั้งโปรแกรม สามารถเขียนขึ้นมาด้วยภาษาจาวาล้วนๆ ชุดคําสั่งในกลุมของ J2EE ประกอบด้วยหลายชุดคําสั่ง ดังนี้

- Java Remote Method Invocation over the Internet Inter-ORB Protocol (RMI-IIOP) - Java Interface Definition Language (Java IDL)

- Java Naming and Directory Interface (JNDI)

- Java Database Connectivity (JDBC)

- Java Message Service (JMS)

- JavaMail

- Java Servlets

- Java Server Pages (JSPs)

- Java Transaction API (JTA) and Java Transaction Service (JTS)

- Enterprise Java Bean (EJB)

- Java API for XML Parsing (JAXP)

- Java Authentication and Authorization Service (JAAS)

- J2EE Connector Architecture (JCA)

คุณลักษณะของ J2EE (Java 2 Platform Enterprise Edition)

- รองรับการพัฒนา Applications แบบ Multitear

- มีโมดูลต่างๆที่ครบครันที่ไม่มีความซับซ้อน

- สนับสนุนการเชื่อมต่อฐานข้อมูลหลากหลายรูปแบบ(JDBC)

- สนับสนุน Corba, Security, EJB component, Servlet API

- รองรับการพัฒนา Applications ทางธุรกิจ รวมถึงเรื่องพนักงานในองค์กร การบริการคู่ค้าขององค์กรขนาดใหญ่

- รองรับการทำ Transaction จำนวนมากๆ
EJB ย่อมาจากคําว่า Enterprise JavaBeans เป็นชื่อเรียกของคอมโพแนนท์ของภาษาจาวา คือ
การสร้างโปรแกรมระดับองค์กรโดยอาศัยหน่วยของโปรแกรมเล็กๆ ซึ่งมี ความเป็นอิสระในตัวเอง ประกอบกันขึ้นมาเป็นโปรแกรมขนาดใหญ่ซึ่งทำงาน ที่ซับซ้อนขึ้นได้การแบ่งงานของโปรแกรมใหญ่ออกเป็นคอมโพเนนท์ทำให้โปรแกรมมี ความสามารถในการขยายตัวเพื่อรองรับงานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันในแง่ของการพัฒนาก็ช่วยให้โปรแกรมเมอร์ทำงานร่วมกันได้ เป็นทีมได้ง่ายขึ้น และลดเวลาในการพัฒนาโปรแกรม เพราะคอมโพเนนท์ที่เขียนมาเพื่อโปรแกรมหนึ่งสามารถนำไปใช้กับโปรแกรมอื่นได้ อีกในอนาคต ไม่ต้องเสียเวลาเขียนกันขึ้นมาใหม่อีก

จุดประสงค์ของ EJB ( Enterprise JavaBeans )

EJB เป็น Standard Component สำหรับการพัฒนา Distributed Object-Oriented Business Application ด้วย

Java Programming Language และ EJB สามารถทำงานร่วมกับ Component อื่น ๆ จากบริษัทผู้พัฒนา ( Vendors ) ที่แตกต่างกัน

EJB ง่ายต่อการพัฒนา Application โดยผู้พัฒนาไม่ต้องมีความรู้ด้าน Low-Level Transaction, State Management Details, Multi-threading,

Connection Pooling และ Low-Level API อื่น ๆ

EJB สนับสนุนปรัชญา The Write Once, Run Anywhere ของ Java Programming Language ในการทำงานบน Multiple Platforms โดยปราศจากการ Recompilation หรือแก้ไข Source Code EJB จะเป็นการ Deployment และ Runtime Aspects ในรูปแบบ Enterprise Application's Life Cycle EJB มีข้อกำหนดในการที่จะทำให้ Multiple Vendors สามารถพัฒนาและใช้ Components ที่ถูกพัฒนาขึ้น มาทำงานร่วมกันได้ ( Interoperate at runtime )

EJB จะสนับสนุนความสามารถเฉพาะ Server Platforms ที่มีอยู่ทั่วไป แต่ Vendors สามารถเพิ่มความสามารถพิเศษ ( Specialty ) ของบาง Server Product ลงไปใน EJB Architecture แต่ต้องยังคงความ Compatible ของ EJB ไว้

EJB จะสนับสนุนการทำงานระหว่า Enterprise Application ทั้งที่เป็น J2EE ( Java 2 Platform Enterprise Edition ) และ ที่ไม่เป็น Java Platform
Session Beans เหมาะกับการทำงานลักษณะ Processing หรือ Workflow ระบบที่ออกแบบให้ใช้งาน Session Beans มักจะถูกใช้งานกับระบบการทำงานแบบ standalone และไม่มีการใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างผู้ใช้บริการ Session Beans แบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย คือ Stateful และ Stateless Stateful Session Bean ดูแลสถานะของ client เมื่อมีการร้องขอเกิดขึ้นจาก client Stateless Session Bean ไม่มีส่วนการดูแลสถานะ โดยปกติ Stateless Session Bean จะถูกเรียกใช้เมื่อระบบงานที่เราจัดทำขึ้นไม่มีความต้องการให้ container ดูแลสถานะ และผู้พัฒนาระบบงานคำนึงถึงความรวดเร็วในการทำงานมากกว่าการควบคุมสถานะ Entity Beans มักถูกใช้งานเมื่อ Business Component ต้องการเก็บข้อมูลในลักษณะถาวร และมีความต้องการใช้ข้อมูลร่วมกัน ระหว่างผู้ใช้ โดยปกติ Entity Bean สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ BMP และ CMP โดยที่ BMP - Bean-Managed Persistence จะถูกใช้งานเมื่อผู้พัฒนาต้องจัดการเรื่องการจัดเก็บสถานะของข้อมูลแบบถาวร เอง CMP - Container-Managed Persistence จะถูกใช้งานในกรณีที่ผู้พัฒนาต้องการให้ container จัดการดูแลเรื่องการเก็บสถานะของข้อมูลให้ โดยที่ผู้พัฒนาเพียงทำการ กำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง attribute ของ bean และส่วนที่จัดเก็บข้อมูลเท่านั้น
ตัวอย่าง Java Application Server
Sun Java System Application Server IBM WebSphere Application Server Borland Enterprise Server, AppServer Enhydra JBoss Application Server
เมื่อเราต้องการสร้างเครื่องมือที่จะมาจัดการ application ที่เป็น Java เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือก platform ที่ง่ายสำหรับผู้พัฒนา เพื่อสร้างและทดสอบ Java application เราจะสนใจที่จะนำเอา application server ที่มีขนาดเล็ก หรือ จะหลีกเลี่ยงการใช้ software ที่มีลิขสิทธิ์ ซึ่งมีราคาแพง ดังนั้น JBoss application- server จึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับที่เราจะนำมาศึกษา โดย JBoss application server มีการรวมสถาปัตยกรรมที่ยังมีความยืดหยุ่นสำหรับปัจจุบัน และรองรับ เทคโนโลยีในอนาคต ได้เป็นอย่างดี โดยที่เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในด้าน license และรองรับเทคโนโลยีที่สูงกว่ารวมทั้งยังได้รับการสนับสนุนทางด้าน เทคนิคจากทีม ผู้พัฒนาที่เป็นแกนหลักของ JBoss ดังนั้น JBoss จึงเข้ามาเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการพัฒนาโปรแกรมขนาดกลาง (Middleware) อย่างรวดเร็ว

JBoss application server เป็นมาตรฐานทีเป็นพื้นฐานของ J2EE Platform ซึ่งเป็นอิสระในการใช้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือจะเป็น Independent - software vendor (ISV) ไม่คำนึงถึงขนาดของการ deploy JBoss application server กลายมาเป็น platform ที่ได้รับความนิยมมากสำหรับผู้พัฒนาและ ISV และเติบโตอย่างรวดเร็วในรูปแบบของ production deployments ด้วย

ลักษณะของ JBoss

1. Open source,no cost product licenses: JBoss เป็น open source ซึ่งไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ เนื่องจากสามารถ download ได้ฟรีจาก web

2. Performance: JBoss อำนวยต่อการปรับปรุง และ การนำ J2EE Application server ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

3. Customizable Footprint: JBoss มีอำนวยต่อการนำมาปรับปรุงใหม่ได้และ มีสถาปัตยกรรมที่ดีและยืดหยุ่นในการสร้าง application ซึ่งมี component model ที่จัดเตรียมไว้ให้ตามที่ต้องการ

4. Services-Oriented Architecture: JBoss มีการบริการสำหรับองค์กรที่แตกต่างออกไป รวมไปถึง Transaction Management, messaging, mail services, security, connection pooling Service ต่างๆเหล่านี้สามารถเพิ่มหรือนำออกไปได้ตามความต้องการ Service ทั้งหมดนี้มี package สำหรับจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย โดยที่สามารถทำการสร้างและเพิ่ม service เข้าไปได้เอง

5. Enterprise-Class Services for any Java Object: JBoss Application Server สามารถใช้ Aspect-Oriented Programming (AOP) - model ในการส่งต่อไปยัง EJB คล้ายกับการส่ง function 6. Application-level features such as No compilation: ได้รับความนิยมมากจากผู้พัฒนาที่ใช้ภาษา Java ระดับสูง

7. Full security implementation: มีความปลอดภัยสูง ประกอบไปด้วยการผสมผสานกันของ JAAS

8. Full Standard support: JBoss Application Server สนับสนุน J2EE 1.4.x.

การทดสอบการทำงานของ DHCP Server

การทดสอบว่าบริการ DHCP server ที่ติดตั้ง สามารถใช้งานได้หรือไม่นั้น ต้องทดสอบจากเครื่องไคลเอนต์คอมพิวเตอร์ที่อยู่บนเครือข่าย โดยในที่นี้จะยกตัวอย่างเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP
การคอนฟิก Windows XP ให้รับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสจาก DHCP Server

1. คลิกขวาที่ My Network Places แล้วเลือก Properties

2. ในหน้าต่าง Network Connection ให้คลิกขวาที่ Local Area Connection แล้วเลือก Properties

3. ในหน้าต่าง Area Connection Properties ให้เลือกที่ Internet Protocol (TCP/IP) แล้วคลิก Properties

4. ในหน้าต่าง Internet Protocol (TCP/IP) Properties โดย default จะตั้งค่าเป็น Obtain an IP address Automatically และ Obtain DNS server address Automatically

5. คลิก OK เพื่อปิดหน้าต่าง Internet Protocol (TCP/IP) Properties

6. คลิก OK เพื่อปิดหน้าต่าง Area Connection Properties และจบการตั้งค่า IP Address

การตรวจสอบการรับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสของเครื่องไคลเอนต์

การตรวจสอบว่าเครื่องไคลเอนต์การรับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสได้หรือไม่นั้น สามารถทำได้โดยใช้คำสั่ง ipconfig ซึ่งเป็นคำสั่งที่รันจากคอมมานด์พร็อมพ์โดยการเรียกใช้งานนั้นทำได้ ตามขั้นตอนดังนี้

1. คลิก Start คลิก run พิมพ์ cmd ในช่อง Open แล้วกด enter

2. ในหน้าต่างคอมมานด์พร็อมพ์ให้พิมพ์ ipconfig /? แล้วกด enter เพื่อดูคำสั่งต่างๆ ที่สามารถใช้ได้ตัวอย่าง: การใช้คำสั่ง ipconfig ตรวจสอบการรับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรส

- ดูค่า IP Address ของเครื่อง ให้รันคำสั่ง ipconfig ที่คอมมานด์พร็อมพ์

C:\>ipconfig

Windows IP Configuration

Connection-specific DNS Suffix . :

IP Address. . . . . . . . . . . . : 192.168.10.56

Subnet Mask . . . . . . . . . . . : 255.255.255.0

Default Gateway . . . . . . . . . : 192.168.10.1

C:\>

- ดูค่า IP Address ของเครื่องอย่างละเอียด ให้รันคำสั่ง ipconfig /all ที่คอมมานด์พร็อมพ์

C:\>ipconfig /all

Windows IP Configuration

Host Name . . . . . . . . . . . . : WinXP

Primary Dns Suffix . . . . . . . :

Node Type . . . . . . . . . . . . : Unknown

IP Routing Enabled. . . . . . . . : No

WINS Proxy Enabled. . . . . . . . : No

Connection-specific DNS Suffix . :

Description . . . . . . . . . . . : WAN (PPP/SLIP) Interface

Physical Address. . . . . . . . . : 00-53-45-00-00-00

Dhcp Enabled. . . . . . . . . . . : No

IP Address. . . . . . . . . . . . : 192.168.10.56

Subnet Mask . . . . . . . . . . . : 255.255.255.0

Default Gateway . . . . . . . . . : 192.168.10.1

DNS Servers . . . . . . . . . . . : 203.xxx.x.x

Primary WINS Server . . . . . . . : 203.xxx.x.x

NetBIOS over Tcpip. . . . . . . . : Disabled

C:\>

- ยกเลิกค่า IP Address ที่ได้จาก DHCP ให้รันคำสั่ง ipconfig /release ที่คอมมานด์พร็อมพ์

C:\>ipconfig /release

Windows IP Configuration

The operation failed as no adapter is in the state permissible for

this operation.

C:\>

- ขอรับค่า IP Address ที่ได้จาก DHCP ใหม่ ให้รันคำสั่ง ipconfig /renew ที่คอมมานด์พร็อมพ์

การทดสอบการทำงาน

ทดสอบโดยการใช้คำสั่ง ping ไปยังหมายเลขไอพีแอดเดรสของดีฟอลท์เกตเวย์ หรือของเครื่องใกล้เคียง หากได้รับข้อความตามลักษณะของตัวอย่างที่ 1 (Reply from x.x.x.x: bytes=32 time=xxms TTL=255) แสดงว่าการรับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสจาก DHCP เซิร์ฟเวอร์ น่าจะถูกต้อง หากได้รับข้อความตามลักษณะของตัวอย่างที่ 2 (Request timed out.) อาจเป็นไปได้ว่าการตั้งค่าไม่ถูกต้อง แต่หากได้รับข้อความตามลักษณะของตัวอย่างที่ 3 (Destination host unreachable) แสดงว่าเครื่องไคลเอนต์ยังไม่ได้รับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสจาก DHCP เซิร์ฟเวอร์ตัวอย่างที่ 1:

C:\>ping 192.168.2.35

Pinging 10.1.1.1 with 32 bytes of data:

Reply from 192.168.2.35: bytes=32 time=173ms TTL=255

Reply from 192.168.2.35: bytes=32 time=281ms TTL=255

Reply from 192.168.2.35: bytes=32 time=343ms TTL=255

Reply from 192.168.2.35: bytes=32 time=265ms TTL=255

Ping statistics for 192.168.2.35:

Packets: Sent = 4, Received = 4, Lost = 0 (0% loss),

Approximate round trip times in milli-seconds:

Minimum = 173ms, Maximum = 343ms, Average = 265ms

C:\>

การติดตั้งโปรแกรม mySQL Database Server บน Linux

การติดตั้งโปรแกรม mySQL Database Server บน Linux

mySQL เป็น Database Server ที่เป็นที่นิยมบน Linux เนื่องจากมีขนาดเล็ก แต่สามารถรองรับงานทั้งขนาดเล็ก และขนาดกลางได้ดี การติดตั้งก็สามารถทำได้ง่าย และที่สำคัญ สามารถพัฒนาระบบติดต่อผู้ใช้ผ่านทาง WWW ได้โดยง่าย

ชุดโปรแกรม mySQL สามารถหาได้จาก homepage ของ บริษัทHughes

การติดตั้งโปรแกรม mySQLlogin เป็น root หรือว่า login เป็นผู้ใช้ปกติ แล้วใช้คำสั่ง su เพื่อเป็น rootเมื่อทำการ Download ชุดโปรแกรมได้แล้ว ให้นำไปไว้ที่ directory /usr/localแล้วทำการขยาย file ดังนี้

# mv msql-2.0.4.1.tar.gz /usr/local

# cd /usr/local

# gzip -d msql-2.0.4.1.tar.gz

# tar -xvf msql-2.0.4.1.tar

หมาย เหตุ ถ้าเป็น mySQL Version อื่น ที่ไม่ใช่ 2.0.4.1 ก็ให้เปลี่ยนชื่อตาม เลข version นั้นเสร็จแล้ว ให้เข้าไปยัง directory msql-2.0.4.1 แล้วทำการ run โปรแกรม make ดังนี้

# cd msql-2.0.4.1

# make targetเสร็จแล้วโปรแกรม make จะทำการสร้าง Target directory ขึ้นมาเป็น directory ย่อยใน directory targets อีกทีหนึ่ง ให้เข้าไปยัง directory นั้น

# cd targets/Linux-2.0.34-i686หมายเหตุ ชื่อ Target directory นี้ อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง เช่นเครื่องที่ใช้ Linux kernel version 2.0.33 และเป็นเครื่อง pentium ก็จะมี Target directory ชื่อว่า Linux-2.0.33-i586 เป็นต้น จึงอาจจะทำการ cd เข้าไปยัง directory targets ก่อน แล้วทำการ list directory ดูก่อนว่ามี Target Directory ชื่อว่าอะไรเป็นต้น แล้วให้ทำการ run โปรแกรม setup และโปรแกรม make อีกครั้งดังนี้

# ./setup

...

# make all

...

# make install

เมื่อทำการ run โปรแกรม make พร้อมกับ option install แล้วโปรแกรม make จะทำการติดตั้งชุดโปรแกรม mySQL ไว้ที่ directory /usr/local/Hughes ซึ่งในขณะนี้ จะทำการลบ Directory /usr/local/msql-2.0.1.4 ออกไปเลยก็ได้ หรือจะเก็บไว้ก็ได้

การปรับแต่งโปรแกรม mySQL

ทำการ add user ชื่อว่า msql ให้มี home directory อยู่ที่ /usr/local/Hughes แล้ว ทำการ logout เข้าไปที่ directory /usr/local/Hughes แล้วทำการ copy file msql.acl.sample เป็น file msql.acl ดังนี้

# cp msql.acl.sample msql.acl

แล้วทำการแก้ไข file msql.conf โดยเปลี่ยนชื่อ Admin_User จาก root ให้เป็น msql เสียก่อนเสร็จแล้ว ลองทำการ run โปรแกรม mySQL เพื่อทำการทดสอบดังนี้

# cd bin

# ./msql2d

Mini SQL Version 2.0.4.1

Copyright (c) 1993-94 David J. Hughes

Copyright (c) 1995-98 Hughes Technologies Pty Ltd.

All rights reserved.

Loading configuration from

'/usr/local/Hughes/msql.conf'.

Server process reconfigured to accept 200 connections.

Server running as user 'msql'.

Server mode is Read/Write.

ถ้าขึ้นข้อความตามด้านบน แสดงว่าการทำงานเรียบร้อยดี ให้ทำการหยุดการทำงานโดยกดปุ่ม CTRL-C แล้วไปแก้ไข file /etc/rc.d/rc.local (กรณีนี้สำหรับ Slackware Distribution , สำหรับ Redhat Distribution ให้ไปแก้ไข file ใน directory /etc/rc.d/rc3.d/ ตามที่เหมาะสม)เพื่อให้เครื่องทำการ run โปรแกรม mSQL ทุกครั้งที่ทำการ boot เครื่อง โดยเพิ่มข้อความต่อไปนี้ ที่ท้าย file /etc/rc.d/rc.local

MSQL=/usr/local/Hughes

if [ -f $MSQL/bin/msql2d ]

then

echo "Start mSQL Database Server"

$MSQL/bin/msql2d 1>/dev/null 2>/dev/null &

fi

เสร็จแล้ว ให้ start โปรแกรม mSQL ขึ้นใหม่อีกครั้ง เพื่อใช้ในการสร้าง Database ต่อไป ดังนี้

# cd /usr/local/Hughes/bin

# msql2d &

การใช้คำสั่ง msqladmin เพื่อจัดการ Database คำสั่ง msqladmin จะใช้ในการควบคุมการทำงานของโปรแกรม mSQL โดยจะสามารถใช้ในการสร้าง/ลบ/ทำสำเนา/เปลี่ยนชื่อ หรือว่าใช้ในการตรวจสอบสถานะการทำงานต่าง ๆ โดยมีการทำงานที่สำคัญดังนี้

* การสร้าง Database ใหม่ ทำได้โดยใช้คำสั่ง

$ msqladmin create DatabaseName>

เมื่อ DatabaseName> คือชื่อ Database ที่ต้องการสร้าง

* การลบ Database ทำได้โดยใช้คำสั่ง

$ msqladmin drop DatabaseName>

เมื่อ DatabaseName> คือชื่อ Database ที่ต้องการลบ

* การทำสำเนา Database ทำได้โดยใช้คำสั่ง

$ msqladmin copy FromDB> ToDB>

เมื่อ FromDB> คือ ชื่อ Database ต้นฉบับ และ ToDB> คือชื่อ Database ที่ต้องการสร้างใหม่

* การเปลี่ยนชื่อ Database ทำได้โดยใช้คำสั่ง

$ msqladmin move FromDB> ToDB>

เมื่อ FromDB> คือชื่อ Database เดิม และ ToDB> คือชื่อใหม่ที่ต้องการเปลี่ยน

* การตรวจสอบสถานะการทำงาน ทำได้โดยใช้คำสั่ง

$ msqladmin stats

นอกจากนั้นยังมีคำสั่งอื่น ๆ อีกเช่น reload ใช้เมื่อต้องการ reload system ใหม่ shutdown ใช้เมื่อต้องการหยุดการทำงาน เป็นต้น

การใช้คำสั่ง msql เพื่อติดต่อกับโปรแกรม mSQL คำสั่ง msql เป็นคำสั่งเพื่อใช้ในการติดต่อกับโปรแกรม mSQL คำสั่งนี้จะอยู่ใน directory /usr/local/Hughes/bin โดยจะต้องระบุว่าต้องการติดต่อเพื่อจัดการกับ Database ตัวไหน เช่น

$ msqladmin create TestDB

Database "TestDB" created.

$ msql TestDB

Welcome to the miniSQL monitor. Type \h for help.

mSQL >

จะเห็นว่า prompt รับคำสั่งจะเปลี่ยนเป็น mSQL> เพื่อบอกว่า โปรแกรม mSQLกำลังรอรับคำสั่งอยู่ สำหรับคำสั่งที่จะใช้ ในการสั่งโปรแกรม mSQL นั้นจะอยู่ในรูปของ SQL (Structural Query Language)ซึ่งสามารถศึกษาโครงสร้างของคำสั่งได้ที่ homepage ของบริษัท Hughe ที่หน้า Language Specification<http://www.hughes.com.au/library/msql2/manual/spec.htm>;
เช่น เมื่อต้องการสร้าง Table เพื่อเก็บข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ ที่ประกอบไปด้วย field 4 field ดังนี้คือชื่อ ชนิด ขนาด

idx int -

name character 40

email character 40

phone character 40 ก็สั่งดังนี้

mSQL > CREATE TABLE phone (

-> idx int not null,

-> name char(40) not null,

-> email char(40) not null,

-> phone char(40))\g

Query OK. 1 row(s) modified or retrieved.

mSQL >

จากตัวอย่างจะเห็นว่า เมื่อเราพิมพ์บรรทัดแรกเสร็จ แล้วกด Enter mSQL ยังไม่คืน prompt แต่จะขึ้น prompt ใหม่ เป็น -> เพื่อบอกให้รู้ว่า คำสั่งยังไม่จบ และเมื่อเราพิมพ์คำสั่งจบแล้ว ก็ให้พิมพ์ \g ต่อ เพื่อบอกว่า พิมพ์ เสร็จแล้ว ถ้าไม่มี Error โปรแกรม mSQL ก็จะแจ้งว่า Query OK แล้ว เมื่อต้องการป้อนข้อมูลเข้าไป ก็สามารถทำได้ดังนี้

mSQL > INSERT INTO phone (

-> idx, name, email, phone

-> ) VALUES (

-> 1, 'Pruet Boonma', 'pruet@ds90.intanon.nectec.or.th', '+66-53-944140 ext 206')\g

Query OK. 1 row(s) modified or retrieved.

mSQL >

และเมื่อต้องการแสดงข้อมูลใน Table นั้น ก็ทำได้โดย

mSQL > SELECT * FROM phone\g

Query OK. 1 row(s) modified orretrieved.

+-----+--------------+---------------------------------+-------------------- idx name email phonee

+-----+--------------+---------------------------------+----------------------+

1 Pruet Boonma pruet@ds90.intanon.nectec.or.th +66-53-944140 ext 206

+-----+--------------+---------------------------------+----------------------+ mSQL >

และเมื่อต้องการจบการทำงานของ msql ก็ใช้คำสั่ง \q ดังตัวอย่าง

mSQL > \q

Bye!

$

Database Server

Database Server หมายถึง เซิร์ฟเวอร์ที่มีไว้เพื่อรันระบบที่เป็นฐานข้อมูล DBMS (DataBase Management System ) เช่น SQL , Informix เป็นต้น โดยภายในเซิร์ฟเวอร์ที่มีทั้งฐานข้อมูลและตัวจัดการฐานข้อมูล ตัวจัดการฐานข้อมูลในที่นี้หมายถึง มีการแบ่งปัน การประมวลผล โดยผ่านทางไคลเอ็นต์
สำหรับโปรแกรมบริการระบบฐานข้อมูลที่นิยมใช้ ได้แก่ MYSQL หรือ Microsoft Access เป็นต้น โดยผู้ใช้ต้องเขียนโปรแกรมสั่งประมวลผล ปรับปรุงข้อมูล หรือนำข้อมูลในส่วนที่ตนเองมีสิทธิ์ ไปใช้ตามต้องการ
MySql Database Server คือ Program ทางด้านฐานข้อมูลใช้ในการจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ เป็น Freeware นั้นคือ คุณสามารถเข้าไป Download และนำมาใช้ฟรี ๆ โดยไม่ต้องเสียงเงินเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ในการใช้งานโปรแกรมแต่อย่างใด MySQL เป็นที่นิยมใช้กันมากกับฐานข้อมูลบน website ครั้งนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องการติดตั้ง MySQL กัน ดังนี้
1. ให้คุณทำการ Download ไฟล์สำหรับการติดตั้งได้จากเว็บไซต์ http://www.mysql.com เลือก version ตามที่ต้องการและเลือกให้ตรงกับ OS ที่เราใช้งาน

2. จากนั้นให้คุณทำการ DB Click ไปที่ไฟล์ Setup ที่มีมากับไฟล์ที่เราทำการ Download มา โปรแกรมก็จะเริ่มทำการติดตั้งให้เรา ดังนี้
>> เริ่มการติดตั้ง <<
เลือก Directory ที่เราต้องการติดตั้ง แนะนำว่าให้ติดตั้งไปที่ Drive C:\ ตามค่า Default ที่โปรแกรมกำหนดมาให้
เลือกรูปแบบการติดตั้ง หลังจากนั้นโปรแกรมจะทำการติดตั้งไฟล์ต่าง ๆ ของโปรแกรมให้เรา
<< เสร็จสิ้นการติดตั้ง >>
3. เมื่อเราได้ทำการติดตั้ง MySQL Database Server เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไป เราควรที่จะทำการกำหนด Username & Password ให้กับ MySQL ของเราเสียก่อนการใช้งานใด ๆ ทั้งนี้เป็นไปตามกฏของการใช้งานโปรแกรม Database Server ใด ๆ ตามปรกติ ที่เราควรจะกระทำ

ข้อดีและข้อเสียของ Print Server

ข้อเสียของ Print Server
1. หากต้องการสั่งพิมพ์งาน จำเป็นต้องเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ เอาไว้ตลอดเวลา ซึ่งนั่นหมายความถึงว่า หากคอมพิวเตอร์ไม่ถูกเปิด ก็จะไม่สามารถสั่งพิมพ์เอกสารได้ ซึ่งจะเป็นปัญหาอย่างยิ่งในกรณีของสำนักงานที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับ แชร์พริ้นเตอร์ และเจ้าของเครื่องลากิจ หรือลาป่วย ไม่สามารถเปิดคอมพิวเตอร์ได้ แผนกนั้นๆ ทั้งแผนกก็จะไม่สามารถพิมพ์เอกสารได้เลย

2. จากการทดสอบ (จากรายงานผลการทดสอบของ PCi ผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์สำหรับ SMEs อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น) พบว่า การสั่งพิมพ์งานผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้ประสิทธิภาพการใช้งาน CPU ลดลงไป 40% หรือกล่าวง่ายๆ ว่าการแชร์พริ้นเตอร์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง 40%

3. หากต้องการสั่งพิมพ์เอกสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้งานจำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องการทำ Port Mapping to IP และจำเป็นต้องประกาศ IP ของเครื่องพิมพ์บนอินเตอร์เน็ต

4. จำเป็นอย่างยิ่งที่เครื่องพริ้นเตอร์จะต้องอยู่ติดกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ระยะห่างไม่เกิน 1 เมตร(ตามระยะของสายต่อระหว่างพริ้นเตอร์กับคอมพิวเตอร์มาตราฐาน)

ข้อดีของ Print Server

1. สั่งพิมพ์เอกสารเมื่อใดก็ได้ผ่านระบบเน็ตเวิร์ค

2. ไม่จำเป็นต้องพึ่งประสิทธิภาพของ CPU ของคอมพิวเตอร์ ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เต็มที่

3. Print Server ส่วนใหญ่ จะมาพร้อม IPP (Internet Printing Protocol) สามารถสั่งพิมพ์เอกสารผ่านอินเตอร์เน็ตได้สะดวกและรวดเร็ว ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องอาศัยความรู้เชิงเทคนิคระดับสูง

4. สามารถติดตั้งเครื่องพริ้นเตอร์ไว้ที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องติดกับเครื่องคอมพิวเตอร์ สะดวกสำหรับสำนักงานที่มีพื้นที่จำกัด หรือต้องการตั้งเครื่องพริ้นเตอร์ไว้เป็นส่วนกลาง

การใช้งานเครื่องพรินเตอร์ที่แชร์โดยเครื่องพรินเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่าย

การเข้าใช้งานพรินเตอร์ที่แชร์โดยเครื่องพรินเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่าย จากเครื่องไคลเอนต์คอมพิวเตอร์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายนั้น มีวิธีการดังต่อไปนี้

1. คลิกที่ Start แล้วคลิก Printers and Faxes

2. ที่หน้าต่าง Printers and Faxes ในส่วน Printer Tasks คลิก Add Printer เพื่อเปิดในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Add Printer Wizard แล้วคลิก Next

3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Local or Network Printer เลือก network printer or a printer attached to another computer แล้วคลิก Next

4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Specify a Printer เลือกวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังนี้

-Browse for a printer

-Connect to this printer แล้วพิมพ์ชื่อ UNC ของ share printer ที่ต้องการในช่อง Name: เสร็จแล้วคลิก Next

- Connect to a printer on the Internet or on your intranet แล้วพิมพ์ชื่อ http://printserver_name/Printers/share_name/.printer ในช่อง URL:

5. เสร็จแล้วคลิก Finish หลังจากทำเพิ่มพรินเตอร์เสร็จแล้ว ให้ทำการทดลองใช้งานโดยทำการเปิดโปรแกรม Microsoft Word หรือ Notepad แล้วทำการสั่งพิมพ์งาน หมายเหตุ: เครื่องไคลเอนต์คอมพิวเตอร์ทดสอบในที่นี้จะเป็นระบบปฏิบัติการวินโดวส์เอ็ก พีซ์

การติดตั้ง วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2008 เป็น Print Server

การติดตั้ง วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2008 ให้เป็น Print Server นั้น มี 2 ขั้นตอนดังนี้

• การติดตั้งบริการ Print Services

1. เปิด Server Manager โดยการคลิก Start แล้วคลิก Server Manager

2. ในหน้าต่าง Server Manager ในดีเทลแพน ในส่วน Roles Summary ให้คลิกที่ Add Roles ซึ่งจะได้ไดอะล็อกบ็อกซ์ Add Roles Wizard: Before You Begin

3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Before You Begin ให้คลิก Next

4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Select Server Roles ให้คลิกเลือกเช็คบ็อกซ์ Print Services แล้วคลิก Next

5. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Print Services ให้คลิก Next

6. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Select Role Services ให้คลิกเลือกเช็คบ็อกซ์ Print Server แล้วคลิก Next
7. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Confirm Installation Selections คลิก Install

8. รอจนระบบทำการติดตั้งแล้วเสร็จ จากนั้นในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Installation Results คลิก Close ซึ่งจะกลับไปยังหน้าต่าง Server Manager

• การแชร์พรินเตอร์

1. ในหน้าต่าง Server Manager ในดีเทลแพน ในส่วน Roles Summary ให้คลิกที่ Print Services 2. ในหน้าต่าง Server Manager ในแพนดีเทลแพนของ Print Services ให้คลิกที่ลิงค์ Add and share a printer on the networks.

3. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Network Print Installation Wizard:Printer Installation ให้เลือกเป็น Add a TCP/IP or Web Services Printer by IP Address or hostname แล้วคลิก Next

4. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Printer Address ให้เลือก Type of Device เป็น TCP/IP Device แล้วใส่ค่าชื่อพรินเตอร์หรือหมายเลขไอพีในช่อง Printer name or IP address เสร็จแล้วคลิก Next
5. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Printer Name and Sharing Settings ให้ใส่ชื่อแชร์ที่ต้องการในช่อง Share Name: สำหรับช่อง Location: และ Comment: นั้นใส่ค่าหรือไม่ก็ได้ เสร็จแล้วคลิก Next

6. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Printer Found ให้ตรวจสอบความถูกต้อง เสร็จแล้วคลิก Next

7. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Completing the Network Printer Installation Wizard ให้คลิก Finish
• การเพิ่มเครื่องพรินเตอร์ (Add Printer) บนเครื่องพรินเซิร์ฟเวอร์

การ Add Printer เพิ่มเติมบนเครื่องพรินเซิร์ฟเวอร์นั้น มีวิธีการดังนี้
1. ในหน้าต่าง Server Manager ในดีเทลแพน ในส่วน Roles Summary ให้คลิกที่ Print Services

2. ในหน้าต่าง Server Manager ในคอลโซลทรีของ Print Services ให้คลิกที่เครื่องหมาย + หน้า Print Services แล้วคลิกที่เครื่องหมาย + หน้า Print Management แล้วคลิกที่เครื่องหมาย + หน้า Print Server แล้วคลิกขวาที่ Server (ชื่อพรินเซิร์ฟเวอร์) แล้วเลือก Add Printer...
หรือคลิกขวาที่ Printer แล้วเลือก Add Printer...

3. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Network Print Installation Wizard:Printer Installation ให้เลือกเป็นAdd a TCP/IP or Web Services Printer by IP Address or hostname แล้วคลิก Next

4. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Printer Address ให้เลือก Type of Device เป็น TCP/IP Device แล้วใส่ค่าชื่อพรินเตอร์หรือหมายเลขไอพีในช่อง Printer name or IP address เสร็จแล้วคลิก Next
5. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Printer Name and Sharing Settings ให้ใส่ชื่อแชร์ที่ต้องการในช่อง Share Name: สำหรับช่อง Location: และ Comment: นั้นใส่ค่าหรือไม่ก็ได้ เสร็จแล้วคลิก Next

6. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Printer Found ให้ตรวจสอบความถูกต้อง เสร็จแล้วคลิก Next

7. ในหน้าไดอะล็อกล็อกซ์ Completing the Network Printer Installation Wizard ให้คลิก Finish

Print Server

เหตุผลที่ต้องมี Print Server ก็คือ เพื่อแบ่งให้พรินเตอร์ราคาแพงบางรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานมากๆ เช่น HP Laser 5000 พิมพ์ได้ 10 - 24 แผ่นต่อนาที พรินเตอร์ประเภทนี้ ความสามารถในการทำงานสูง ถ้าหากซื้อมาเพื่อใช้งานเพียงคนเดียว แต่ละวันพิมพ์ 50 แผ่น ก็ไม่คุ้มค่า ดังนั้นจึงต้องมีกระบวนการจัดการแบ่งปันพรินเตอร์ดังกล่าวให้กับผู้ใช้ทุกๆ คนในสำนักงาน หน้าที่ในการแบ่งปัน ก็ประกอบด้วย การจัดคิว ใครสั่งพิมพ์ก่อน การจัดการเรื่อง File Spooling เป็นของเซิร์ฟเวอร์ ที่มีชื่อว่า Print Server มีองค์กรไม่กี่แห่งที่ลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์มาเพื่อใช้สำหรับเป็น Print Server โดยเฉพาะ แต่จะใช้วิธีเอาเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อมาเพื่อเป็น File Server , Data Base server ทำเป็น Print Server ไปด้วย การติดตั้งวินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2008 เป็นพรินเซิร์ฟเวอร์ (Print Server) นอกจากบริการแชร์ไฟล์และโฟลเดอร์แล้ว บริการอย่างหนึ่งที่มีการใช้งานกันมากในสำนักงานหรือแม้การใช้งานในบ้านการ แชร์ก็ตาม คือการแชร์พริ้นเตอร์ โดย Windos Server 2003 นั้น ก็สามรถทำหน้าที่พริ้นเซิร์ฟเวอร์ (Print Server) เพื่อให้บริการแชร์พรินเตอร์ได้เช่นกัน สำหรับวิธีการติดตั้งให้โดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2008 ทำหน้าที่เป็นพริ้นเซิร์ฟเวอร์ (Print Server) นั้นทำได้โดยการเพิ่ม Role ให้กับเซิร์ฟเวอร์จากหน้าต่าง Manage Your Server ลักษณะเช่นเดียวกับการติดตั้งเปนไฟล์เซิร์ฟเวอร์ โดยเมื่อเพิ่ม Role เสร็จแล้วจะมีลิงค์ Add a Printer บนหน้าต่าง Manage Your Server เพื่อใช้ในการ Add Printer เพื่อให้บริการแก่ยูสเซอร์

สรุป File Server

File Server เป็น Server ที่ให้บริการเก็บไฟล์ สามารถทำได้ทั้งระบบ Windows และ Unix
– Windows สามารถทำการ Share Folder เพื่อให้บริการไฟล์ต่างๆ โดยจะทำงานอยู่บน NetBios และสื่อสารผ่าน Protocolที่ชื่อว่า NetBuei
• NetBuei เป็น Protocol ที่เป็นของ Microsoft เป็นการทำงานแบบ Non-routing
– Unix สามารถให้บริการเรื่องไฟล์ได้โดยการทำ NFS (Network File System) ทำงานอยู่บน TCP/IP
– Windows และ Unix นั้นสามารถทำการ Share File ระหว่างกันได้โดยผ่าน software ตัวกลาง (Middle-ware) ที่ชื่อ Samba โดยติดตั้งบน Unix

การใช้งานไฟล์เซิร์ฟเวอร์จากเครื่องไคลเอนต์คอมพิวเตอร์

การใช้งานไฟล์เซิร์ฟเวอร์จากเครื่องไคลเอนต์คอมพิวเตอร์หรือเครื่อง คอมพิวเตอร์ลูกข่ายนั้น สามารถทำได้ 3 วิธี ด้วยกัน ดังต่อไปนี้

• การเข้าใช้งานโดยตรงผ่านทางชื่อแบบ Universal Naming Convention (UNC name) คือ ชื่อเต็มของทรัพยากรบนระบบเครือข่าย ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบ \\Server name\sharename เมื่อ Server name คือ ชื่อของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และ sharename คือ ชื่อของทรัพยากรที่แชร์อยูบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์บนระบบเครือข่าย มีวิธีการดังนี้

1. คลิกที่ Start แล้วคลิก Run

2. พิมพ์ชื่อ UNC ของ share folder ที่ต้องการในช่อง Open เสร็จแล้วกด Enter

3. วิธีการใช้งานนั้นเหมือนการใช้งานโฟลเดอร์ธรรมดาทุกประการ

• การเข้าใช้งานโดยวิธีการแม็พไดรฟ์จากระบบเครือข่าย (Map Network Drive) มีวิธีการทำดังนี้

1. คลิกที่ Start แล้วคลิก My computer

2. ที่เมนูบาร์คลิก Tools แล้วเลือก Map Network Drive

3. พิมพ์หรือเลือกชื่อไดรฟ์ที่ต้องการในช่อง Drive:

4. พิมพ์ชื่อ UNC ของ share folder ที่ต้องการในช่อง Folder: หรือคลิกบราวส์แล้วเลือก share folder ที่ต้องการแล้วคลิก OK

5. เสร็จแล้วคลิก Finish

6. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ User name and password ใส่ชื่อยูสเซอร์ในช่อง Username และใส่รหัสผ่านในช่อง Password เสร็จแล้วคลิก OK

7. วิธีการใช้งานนั้นเหมือนการใช้งานไดรฟ์ Local ทุกประการ
หมาย เหตุ - หากต้องการให้วินโดวส์จำยูสเซอร์เนมและรหัสผ่านโดยอัตโนมัติในการใช้งาน ครั้งต่อไป ให้เลือกเช็คบ็อกซ์ Remember my password

- หากต้องการให้วินโดวส์ใช้ยูสเซอร์เนมและรหัสผ่านโดยอัตโนมัติในการใช้งาน ครั้งต่อไป ให้เลือกเช็คบ็อกซ์ Don't ask for this password again

• การใช้คำสั่ง net use แม็พไดรฟ์จากคอมมานด์ไลน์ มีวิธีการทำดังนี้

1. เปิดคอมมานด์ไลน์ โดยการคลิก Start คลิก Run พิมพ์ cmd เสร็จแล้วกด Enter

2. ในหน้าต่างคอมมานด์พร็อมพ์พิมพ์ [net][space][use][space][X:][space][\\Server name\sharename] เสร็จแล้วกด Enter
หมายเหตุ 1. ทั้ง 3 วิธีนี้ กระทำบนเครื่องไคลเอ็นต์ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เอ็กพีซ์

2. ไม่ต้องใส่เครื่องหมาย [ ] 3. space = ช่องว่าง 4. X: = ชื่อไดรฟ์ที่ต้องการแม็พ

File Server

ทำหน้าที่จัดเก็บไฟล์ โดยการจัดเก็บไฟล์จะทำเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์รวมศูนย์ (Centralized disk storage) เสมือนว่าผู้ใช้งานทุกคนมีที่เก็บข้อมูลอยู่ที่เดียว เพราะควบคุม-บริหารง่าย การสำรองข้อมูล การ Restore ง่าย ข้อมูลดังกล่าว Shared ให้กับ Client ได้ โดยส่วนมากข้อมูลที่อยู่ใน File Server คือ โปรแกรมและข้อมูล (Personal Data File) โดยปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์ไม่มีหน้าที่ต้องประมวลข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพียงแหล่งเก็บข้อมูล ปัจจุบัน File Server ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงจัดเก็บไฟล์แบบ Local แล้ว แต่มีผู้ให้บริการพื้นที่ฟรีในฮาร์ดดิสก์หลายๆแห่งให้บริการพื้นที่ฟรีผ่าน อินเตอร์เน็ตด้วย เช่น 100 MB 200 MB ซึ่งเหมาะสำหรับการเก็บไฟล์ที่ต้องการสำรองไว้ นอกจากนี้บางแห่งเสนอรูปแบบการให้บริการ จัดเก็บรูปภาพ เป็นอัลบั้มรูปภาพเลย
การทำงานของเซิร์ฟเวอร์ที่เป็น File Server นั้น ในทางเทคนิคแล้วยังไม่เรียกว่าเป็น "Client/Server" เพราะไม่มีการแบ่งโหลดการทำงานระหว่างไคลเอ็นต์กับเซิร์ฟเวอร์ แต่หน้าที่ที่ File Server จะต้องจัดการคือ มี NOS (Network Operating System) ที่ดูแลการ "เข้าถึง" ไฟล์ ต้องมีกระบวน "Lock" ไว้ ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการแก้ไขไฟล์ เช่น ขณะที่ผู้ใช้งานคนที่ 1 เปิด ไฟล์ A และกำลังแก้ไข (edit) อยู่ ผู้ใช้งานคนที่สองจะเปิดไฟล์ A เพื่อแก้ไขไม่ได้ (แต่เปิดเพื่ออ่าน Read Only ได้) แต่ถ้าหากข้อมูลนั้นเป็น Database แทนที่ไฟล์หรือฐานข้อมูลทั้งฐานข้อมูลจะถูก Lock กระบวนการ Lock ก็อาจจะเกิดเฉพาะ Record (Row) นี้เป็นหน้าที่ของ NOS และ Application ที่ใช้งาน

เซิร์ฟเวอร์

พูดถึงเซิร์ฟเวอร์ เป็นที่เข้าใจกันว่า คอมพิวเตอร์ที่ประสิทธิภาพสูงๆ ใช้ซีพียูที่แตกต่างไปจากพีซี เช่น ใช้ Intel Xeon (ขอพูดถึงเฉพาะเซิร์ฟเวอร์ฝั่ง Intel x86) หรือ Pentium III 800 MHz สองตัว หน่วยความจำแบบ SDRAM ประเภทสนับสนุน ECC ความจุสูง และมีหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่พิเศษ เช่น ฮาร์ดดิสก์ Ultra SCSI3 Controller , RAID ทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ เราเองก็เรียกว่า เซิร์ฟเวอร์.. แต่ถ้าจะจำเพาะเจาะจง ลงไป เราจะเรียกว่าเซิร์ฟเวอร์อะไรกัน มีคำขยาย เพื่อให้รู้ว่า นี่เป็นเซิร์ฟเวอร์เพื่อทำหน้าที่ "บริการ" อะไร
ประเภทของเซิร์ฟเวอร์ เมื่อปี 2539 จากเอกสารของ Intel แบ่งเซิร์ฟเวอร์ออกเป็น 4 ประเภท คือ File Server , Print Server , Database Server , Application Server การแบ่งออกเป็น 4 ประเภทนั้น แบ่งตามลักษณะการใช้งาน คือ เก็บ-บริการไฟล์ บริการ/บริหารพรินเตอร์ (การพิมพ์งาน) เก็บและบริการฐานข้อมูล และบริการ/บริหารซอฟต์แวร์ประยุกต์ ส่วน Mail Server, Internet Server หรือประเภทอื่นๆที่มีการเรียกชื่อนั้น เกิดจากการนำเอาเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 2 ประเภทมารวมกันในตัวเดียว แต่ล่าสุดหลังจากยุคของอินเตอร์เน็ตเฟื่องฟู ประเภทของเซิร์ฟเวอร์ได้แบ่งเพิ่มเติมขึ้นอีก ตามข้อมูลของ webopedia ได้แบ่งประเภทของเซิร์ฟเวอร์เพิ่มขึ้นถึง 12 ประเภท รวมของเก่าอีก 4 ประเภท มันก็กลายเป็น 16 ประเภท อย่าเพิ่งตกใจครับ ที่จริงแล้วในบ้านเรา คงไม่มีใครมีโอกาสได้ทำงานกับเซิร์ฟเวอร์ของทั้ง 16 ประเภทหรอก เพราะว่าหลายๆประเภทนั้น มีเฉพาะในองค์กรที่เปิดบริการเฉพาะเท่านั้น ไม่ได้มีใช้งานกันหลากหลาย

การจัดการ DHCP Server

การจัดการ DHCP Server จะใช้สแนป-อิน DHCP Server โดยให้ไปที่ Manage Your Server แล้วคลิกที่ Manage this DHCP Server ซึ่งจากหน้าต่าง DHCP Server แอดมินสามารถทำจัดการด้านต่างๆ เช่น สร้างสโคปใหม่ (New Scope) แก้ไขอ็อปชันของสโคป เป็นต้น

การสร้างสโคปใหม่

สโคป (Scope) หมายถึง ช่วงของหมายเลขไอพีแอดเดรส (IP Address) สําหรับแจกจ่ายให้กับไคลเอนต์ที่อยู่ในระบบเครือข่าย โดยนอกเหนือจากหมายเลข IP Address แล้ว เรายังสามารถกําหนดค่าอ็อปชันต่างๆ ของสโคป เพื่อนำไปกำหนดให้กับเครื่องไคลเอนต์ได้ด้วย โดยอ็อปชันของสโคปนั้นจะเป็นค่าพารามิเตอร์เสริมต่าง ๆ เช่น หมายเลขไอพีแอดเดรสของดีฟอลต์เกตเวย์, หมายเลขไอพีแอดเดรสของ DNS Server เป็นต้น

การสร้างสโคปใหม่

ขั้นตอนการสร้าง DHCP Scope

1. คลิกขวาที่ชื่อ DHCP Server แล้วเลือก New Scope

2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Scope Name ให้ตั้งชื่อของสโคปในช่อง Name ควรตั้งชื่อให้ให้สื่อความหมายเพื่อให้ง่ายต่อการจำในส่วนของช่อง Description จะเป็นคําอธิบายจะใส่หรือไม่ก็ได้ เสร็จแล้วคลิก Next

3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ IP Address Range ให้กําหนดช่วงของหมายเลขไอพีแอดเดรส โดยระบุแอดแดรสเริ่มต้นในช่อง Start IP address และระบุแอดแดรสสุดท้ายในช่อง End address ในช่อง Length นั้นเป็นจํานวนบิตของ Subnet Address ในที่นี้เท่ากับ 24 (255.255.255.0) ซึ่งเป็นค่าดีฟอลท์ Subnet mask โดยสามารถปรับแต่งจํานวนบิตของค่าของ Subnet mask ได้ตามการออกแบบเครือข่าย เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next

4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Add Exclusions ให้ใส่ช่วงหมายเลขไอพีแอดเดรสที่ไม่ต้องการให้อยู่ในสโคปคลิก Add เสร็จแล้วคลิก Next

5. ในไดอะล็อกบ็อกซ Lease Duration ให้กําหนดระยะเวลาที่เครื่องไคลเอนต์สามารถใช้งานหมายเลขไอพีแอดเดรสจากสโค ปนี้ได้ โดยปกติค่าดีฟอลต์ของ Lease Duration จะเป็น 8 วัน ซึ่งสามารถแก้ไขได้ตามต้องการ เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next

6. ระบบจะถามว่าต้องการเซต Scope Option เลยหรือไม่ ให้เลือก Yes แล้วคลิกปุ่ม Next

7. ให้ใส่ค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสของดีฟอลต์เกตเวย์, หมายเลขไอพีแอดเดรสของ DNS Server เมื่อมีไดอะล็อกบ็อกซ์ถามตามลําดับ 8. ระบบจะถามว่าต้องการแอคติเวต (Activate) สโคปนี้เลยหรือไมการแอคติเวตคือการเปิดการใช้งาน Scope เพื่อให้ เครื่องไคลเอนต์สามารถขอหมายเลขไอพีแอดเดรสที่อยูในสโคปดังกล่าวได้ ให้เลือก Yes แล้วคลิก Next เพื่อทำการแอคติเวต

9. เมื่อทำการแอคติเวต (Activate) สโคปแล้ว จะต้องทำการ Authorize DHCP server ก่อนเพื่อให้อำนาจในการจ่ายหมายเลขไอพีแอดเดรสให้กับเครื่องไคลเอนต์ โดยให้คลิกขวาที่ DHCP server แล้วเลือกเมนู Authorize ซึ่งจะทำการเพิ่มชื่อ DHCP serverเข้าใน Authorized list ของฐานข้อมูล Active Directory

การติดตั้ง DHCP Server

บริการ DHCP Server นั้น ก็เหมือนกับบริการอื่นๆ ของ Windows Server2003 คือจะไม่ถูกติดตั้งโดยดีฟอลท์ โดยวิธีการติดตั้ง DHCP Server นั้น ให้ไปที่ Manage Your Server แล้วคลิกที่ Add or remove role จะได้หน้าต่าง Configure Your Wizard ซึ่งจะช่วยในการ Add or remove a role

ขั้นตอนการติดตั้ง DHCP Server

การติดตั้ง DHCP Server มีขั้นตอนดังนี้

1. ในหน้าต่าง Manage Your Server ให้คลิกที่ Add or remove a role

2. ในหน้าต่าง Preliminary Steps ให้คลิกปุ่ม Next

3. ในหน้าต่าง Server Role ให้คลิกเลือก DHCP Server แล้วคลิกปุ่ม Next

4. ในหน้าต่าง Summary of Selections ให้คลิกปุ่ม Next

5. ในหน้าต่าง Configuring Components ให้รอจนระบบทำงานเสร็จเรียบร้อย แล้วให้คลิก Next

7. ในหน้าต่าง Applying Selections ระบบจะทำการเพิ่ม Role ให้กับ Server ให้รอจนกว่าระบบงานเสร็จเรียบร้อย แล้วให้คลิก Next

8. ในหน้าต่าง Welcome to the New Scope Wizard คลิก Cancel ออกจากการสร้าง Scope แล้วให้เลือก Finish

การติดตั้ง DHCP Server บน Windows Server 2003

การกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสให้กับเครื่องไคลเอนต์บนระบบเครือข่ายนั้น เป็นหน้าที่หนึ่งของแอดมิน ในกรณีที่เครื่องไคลเอนต์มีจำนวนไม่มาก ตั้งอยู่ในห้องเดียวกันหรือในบริเวณใกล้ๆ กัน การกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสแบบแมนนวลนั้นก็สามารถทำได้โดยไม่มีความซัลซ้อน อะไร แต่ถ้าเครื่องไคลเอนต์มีจำนวนมาก และตั้งอยู่หลายที่หรือห่างไกลกันการกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสแบบแมนนวลนั้น คงเป็นเรื่องยาก การแก้ปัญหาเรื่องการกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสแบบอัตโนมัติโดยใช้บริการแจก จ่ายหมายเลขไอพีให้เครื่องไคลเอนต์ด้วย DHCP Server ซึ่งเป็นฟีเจอร์หนึ่งที่มีใน Windows Server 2003

การต่ออายุการใช้สิทธิ IP Address ของไคลเอนต์

การต่ออายุการใช้สิทธิ IP Address ของไคลเอนต์ (Lease Renewal Process)
เนื่อง จากมีข้อกำหนดเรื่องเวลาการใช้ IP Address ที่จัดให้ไคลเอนต์แต่ละเครื่องอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากจะมี IP Address มากพอจนสามารถกำหนดระยะเวลาอนุญาตให้ใช้ IP Address ได้ไม่จำกัด ดังนั้นโดยปกติทุกๆช่วงเวลา ไคลเอนต์ต้องตรวจสอบกลับไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ DHCP ที่จัดไอพีแอดเดรสมาให้เพื่อขอต่ออายุเวลาการใช้งาน อีกทั้งยังได้รับค่าคอนฟิกกูเรชั่นต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงอีกด้วย เราเรียกกระบวนการนี้ว่า Lease Renewal ซึ่งสามารถทำงานได้หลายวิธีคือ


กระบวนการแบบอัตโนมัติ

กระบวนการ Lease Renewal แบบอัตโนมัตินั้นจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอที่ไคลเอนต์ เมื่อระยะเวลาที่อนุญาตให้ใช้ผ่านไปแล้ว 50% ดังนั้นไคลเอนต์จะเริ่มพยายามขอต่ออายุสิทธินี้หลังจากผ่านไปแล้ว 4 วัน ถ้าเวลาทั้งหมดเป็น 8 วัน การต่ออายุนี้จะเริ่มในขั้นตอนที่ 3 ของ DHCP Lease Generation Process คือเริ่มตั้งแต่ DHCPREQUEST เป็นต้นไป


กระบวนการแบบแมนนวล

กระบวนการนี้จะทำโดยผู้ใช้งานเองผ่านการพิมพ์คำสั่งที่ Command Line ซึ่งจำเป็นในบางสถานการณ์ เช่นจำเป็นต้องให้ไคลเอนต์ได้รับคอนฟิกกูเรชั่นใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ DHCP ในทันที


กระบวนการแบบไดนามิค

วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่สามารถนำหมายเลขไอพีมาใช้ซ้ำได้ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกเปิดเครื่องและเริ่มทำงาน เครื่องลูกข่ายจะขอหมายเลขไอพีจากเซิร์ฟเวอร์โดยอัตโนมัติ วิธีนี้ต่างกับแบบอัตโนมัติตรงที่ IP Address ในการทำงานแต่ละครั้ง ไม่จำเป็นต้องเป็นเลขเดิม

หลักการทำงานของ DHCP Server (Lease Generation Process)

โปรโตคอลที่ใช้ในการทำงานของ DHCP ส่วนใหญ่เป็นลักษณะบรอดคาสต์ ซึ่งกระบวนการจ่าย IP Address นี้ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน ที่ไคลเอนต์กับเซิร์ฟเวอร์จะติดต่อกันจนกระทั่งสุดท้าย ไคลเอนต์ DHCP ได้รับไอพีแอดเดรสที่ไม่ซ้ำกับ Host อื่นๆ ตลอดจนค่าคอนฟิกกูเรชั่นอื่นมาใช้งาน มีดังต่อไปนี้

1. DHCPDiscover เริ่มจากเมื่อเปิดเครื่องไคลเอนต์ขึ้นมา ก็จะถูกกำหนดให้ Obtain an IP address automatically ในหน้าจอ TCP/IP Properties ก็จะบรอดคาสต์เมสเสจ DHCPDISCOVER ออกไป ซึ่งจะไปถึงยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเน็ตเวิร์กเซกเมนต์ และยังส่งหมายเลขแอดเดรส MAC ของการ์ดเน็ตเวิร์ก และชื่อแบบNetBIOS ของเครื่องคอมพิวเตอร์อีกด้วย

2. DHCPOffer เครื่อง DHCP Server บอกไคลเอนต์ว่าตัวเองสามารถจัดสรร IP Address ให้ได้ เมจเสจของเซิร์ฟเวอร์เครื่องใดไปถึงยังไคลเอนต์ก่อนก็จะถูกเลือกใช้งานโดย ไคลเอนต์ (First-Come-First Serve)

3. DHCPRequest เป็นการตอบรับไปยังเซิร์ฟเวอร์ ตอนนี้ไคลเอนต์เองก็ยังไม่ได้รับไอพีแอดเดรส ดังนั้นการตอบกลับนี้ก็ยังจำเป็นต้องเป็นแบบ “บรอดคาสต์”

4. DHCPAck เมื่อได้รับข้อมูลยืนยันเรียบร้อยแล้ว เซิร์ฟเวอร์จะตอบกลับไปยังไคลเอนต์ประกอบด้วยข้อมูล IP Address ที่จัดสรรให้ไคลเอนต์ ตลอดจนค่าคอนฟิกูเรชั่นอื่นๆ

ขั้นตอนการเชื่อมต่อของเครื่องลูกกับ DHCP server

1. เครื่องลูกค้นหาเครื่อง DHCP server ในเครือข่าย โดยส่ง DHCP discover เพื่อร้องขอ IP address
2. DHCP server จะค้นหา IP ที่ว่างอยู่ในฐานข้อมูล แล้วส่ง DHCP offer กลังไปให้เครื่องลูก

3. เมื่อเครื่องลูกได้รับ IP ก็จะส่งสัญญาณตอบกลับ DHCP Request ให้เครื่องแม่ทราบ

4. DHCP server ส่งสัญญาณ DHCP Ack กลับไปให้เครื่องลูก เพื่อแจ้งว่าเริ่มใช้งานได้

DHCP Server

DHCP Server คือโปรโตคอลที่ใช้ในการกำหนด IP Address อัตโนมัติแก่เครื่องลูกข่ายบนระบบ ที่ติดตั้ง TCP/IP สำหรับ DHCP server มีหน้าที่แจก IP ในเครือข่ายไม่ให้ซ้ำ เป็นการลดความซ้ำซ้อน เมื่อเครื่องลูกเริ่ม boot ก็จะขอ IP address, Subnet mark, หมายเลข DNS และ Default gateway

DHCP Server นิยมใช้กับห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่มีเครื่องลูกข่ายจำนวนมากๆ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการกำหนดค่าต่างๆ ให้กับเครื่องลูกข่าย หรือความหมายง่ายๆ คือ การตั้งค่าระบบเครือข่ายแบบอัตโนมัตินั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันมีโปรแกรมทำสามารถใช้ทำเป็น DHCP Server ได้โปรแกรม ตัวที่ขอแนะนำสามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://www.isc.org ในเว็บไซต์ก็จะมีหลายเวอร์ชั่นให้เลือกใช้ (ปัจจุบัน คือ DHCP 4.0.0) ผมขอแนะนำ http://ftp.isc.org/isc/dhcp/dhcp-4.0.0.tar.gz เป็นเวอร์ชั่น 4.0.0 หล่ะกันเริ่มเลยนะครับ

ประโยชน์ที่สำคัญของ DNS

คือช่วยแปลงหมายเลขไอพีซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่จดจำได้ยาก (เช่น 207.142.131.206) มาเป็นชื่อที่สามารถจดจำได้ง่ายแทน (เช่น wikipedia.org)
สรุป DNS
ระบบ Domain Name System เป็นระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP Address มีโครงสร้างฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นเพื่อใช้เก็บข้อมูลที่เรียกค้นได้อย่างรวด เร็ว กลไกหลักของระบบ DNS คือ ทำหน้าที่แปลงข้อมูลชื่อและหมายเลข IP Address หรือทำกลับกันได้ และยังมีฟังก์ชั่นเพิ่มเติมอื่น ๆ อีก ข้อกำหนดของ DNS คือ ชื่อในลำดับชั้นที่สองที่ต่อจาก root ได้มีการกำหนดชื่อเฉพาะที่ระบุรายละเอียดของกลุ่มเอาไว้ชัดเจน ข้อมูลใน DNS การทำงานของ DNS เป็นการทำงานแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ โดยใช้ฐานข้อมูลแบบกระจาย DNS มีทางเลือกใจการใช้งาน ได้ 2 วิธี คืออาศัยเครื่อง DNS server ของผู้ให้บริการ (ISP) เพื่อแปลงชื่อเป็นหมายเลข IP Address ให้กับทุกเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายของตน ซึ่งวิธีนี้มีข้อดี คือ องค์กรนั้นไม่จำเป็นต้องเตรียมเครื่องทำหน้าที่ DNS Server และไม่ต้องคอยดูแลจัดการข้อมูลให้ยุ่งยาก แต่ก็มีข้อเสียคือ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมเครื่องในเครือข่าย ก็จะต้องแจ้งให้ผู้ดูแลระบบของบริษัท ISP ทราบเพื่อช่วยแก้ไขข้อมูลให้ ซึ่งจะไม่สามารถทำเองได้ DNS Zone มีการแบ่งจัดการดูแล domain ออกเป็นพื้นที่ย่อยเรียกว่า zone หรือ DNS zone นี้ทำได้โดยการแบ่งกลุ่มย่อยของ node ที่มีลำดับชั้นย่อยลงไปอีกขั้นเพื่อแยก DNS server ให้ดูแลรับผิดชอบแต่ละ zone ไปช่วยให้กรณีเมื่อ DNS server ที่ดูแล zone 1 อยู่เองได้รับคำสั่งขอข้อมูลที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ก็จะมีการส่งค่า IP Address ของ DNS server ที่ดูแล zone ที่ต้องการให้แทนDHCP การทำงานของโปรโตคอล DHCP จัดอยู่ในสถาปัตยกรรมแบบไคลเอนด์เซิร์ฟเวอร์ โดยเครื่องที่ทำหน้าที่เก็บฐานข้อมูลของแอดเดรสและพารามิเตอร์ ที่จำเป็นเพื่อแจกจ่ายให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์หรืออุปกรณ์อื่นๆ จะถูกเรียกว่า DHCP server เพื่อนำไปใช้งาน

การนำไปประยุกต์ใช้งานเชิงสร้างสรรค์

การนำไปประยุกต์ใช้งานเชิงสร้างสรรค์
1. มีการประยุกต์จากระบบ DNS มาเป็นระบบ DDNS โดยทีมงานThai -DDN คือ DDNS ( Dynamic Domain Name System )
2. จากข้อจำกัดของระบบDNS ได้กลายมาเป็นจุดกำเนิดในการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีชื่อโดเมนภาษาไทยในปี 2542 โดยกลุ่มผู้ประดิษฐ์คิดค้นชาวไทย ที่เอื้ออำนวยให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถเรียกดูเว็บไซต์ผ่านทางชื่อโดเมน ภาษาไทยเต็มรูปแบบ และเปิดโอกาสให้เจ้าของเว็บไซต์ที่ประสบปัญหากับการมีชื่อโดเมนภาษาอังกฤษ ที่จดจำยาก หรือใช้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลำบาก สามารถจดทะเบียนชื่อโดเมนภาษาไทยให้กับเว็บไซต์ของตัวเอง โดยใช้ตัวแปลงรหัสภาษาท้องถิ่นเพื่อทำงานร่วมกับระบบ DNS
3. ในความคิดของกลุ่มเราคิดว่า ในอนาคตข้างหน้าคาดว่ามนุษย์น่าจะสามารถพัฒนาระบบที่คล้ายกับระบบ DSN ที่สามารถแปลงรหัสภาษาของสัตว์ ให้กลายเป็นภาษาที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้และสื่อสารกันได้ หรือแปลงรหัสในหุ่นยนต์ที่มีเฉพาะภาษาของประเทศที่ผลิตหุ่นยนต์นั้นให้มี หลากหลายภาษาเพื่อความสะดวกในการสื่อสาร

การทำงานของ DNS

การทำงานของ DNS มีขั้นตอนอย่างง่ายๆ ดังรูปที่ 1 โดยในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ซึ่งมีอยู่มากและยังมีโปรโตคอลพิเศษคอยทำหน้าที่ต่างๆอยู่เบื้องหลังด้วย เช่น โปรโตคอล ARP ช่วยแปลงค่า IP address เป็นค่าฮาร์ดแวร์ เป็นต้น ตามรูปการทำงานของ DNS มีขั้นตอนที่สามารถอธิบายรายละเอียดได้ดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (client) ที่มี domain เป็น abccompany.com ต้องการติดต่อกับเว็บไซต์ที่ชื่อ www.xyz.com ดังนั้นเครื่องไคลเอนด์นี้ จะส่งคำสั่งขอข้อมูลหมายเลข IP address ด้วยกลไก resolver ไปที่ DNS server ที่ดูแล zone ของตนอยู่ คือ domain abccompany.com ในกรณีนี้สมมุติว่าฐานข้อมูลที่มีใน DNS server ไม่มีข้อมูลหมายเลข IP address ของ www.xyz.com ทั้งนี้เพราะ DNS server ของ zone abccompany.com จะดูแลฐานข้อมูลเฉพาะเครื่องลูกข่ายตนเอง ดังนั้น DNS server นี้ก็จะส่งคำสั่งขอข้อมูลต่อไปยัง DNS server ที่อยู่ระดับบนกว่า ซึ่งได้กำหนดเอาไว้ให้เป็นเครื่อง DNS server ของบริษัทผู้ให้บริการ ISP นั่นเอง
2. เมื่อ DNS server ของ abc.company.com ส่งคำสั่งขอข้อมูลต่อไปยัง DNS server ของบริษัทผู้ให้บริการ ISP แล้ว เครื่อง DNS server ของ ISP ก็จะค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลของตนเช่นเดียวกัน ในกรณีนี้สมมุติว่ายังไม่มีข้อมูล IP address ของ www.xyz.com อีกเหมือนกัน เครื่อง DNS server ของบริษัท ISP จะส่งคำสั่งขอข้อมูลต่อออกไปยังเครื่อง DNS server ในระดับบนขึ้นไปอีกซึ่งก็ได้มีการกำหนดไว้ว่าเป็นเครื่อง root server

3. เมื่อ DNS server ของ abc.company.com ส่งคำสั่งขอข้อมูลต่อไปยัง DNS server ของบริษัทผู้ให้บริการหรือ ISP แล้ว เครื่อง DNS server ของISP ก็จะค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลของตนเช่นเดียวกัน ในกรณีนี้สมมุติว่ายังไม่มีข้อมูล IP address ของ www.xyz.com อีกเหมือนกัน เครื่อง DNS server ของ ISP จะส่งคำสั่งขอข้อมูลต่อออกไปยังเครื่อง DNS server ในระดับบนขึ้นไปอีก ซึ่งก็ได้มีการกำหนดไว้ว่าเป็น root server

4. คำสั่งขอข้อมูลถูกส่งต่อไปยัง DNS server ของ root เพราะดูแลฐานข้อมูลของ domain name ในระดับสอง (.com)

5. ที่ DNS root server แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลหมายเลข IP address ของ www.xyz.com ก็ตาม แต่มีข้อมูลที่ทราบว่า DNS server ที่ดูแล zone ของ domain xyz.com อยู่ที่ใด (มีหมายเลข IP address อะไร) DNS root server ก็จะส่งข้อมูลดังกล่าวไปให้ เพราะที่เครื่อง DNS SERVER ที่ดูแล domain xyz.com จะต้องมีข้อมูลของ IP address ของ www.xyz.com อยู่แน่นอน

6. DNS server ของ ISP จะรับข้อมูล IP address ของเครื่อง DNS server ที่ดูแล zone ของ domain xyz.com เป็น 192.183.255.20 และแจ้งต่อไปให้ DNS server ที่รับผิดชอบ domain xyz.com อีกทีหนึ่ง ในขั้นนี้เครื่อง DNS server ของบริษัท ISP จะเก็บค่าคำตอบเอาไว้ในหน่วยความจำแคชเพื่อใช้กรณีที่มีการเรียกข้อมูลซ้ำ อีกในอนาคต จะได้ส่งคำตอบไปให้เลยโดยไม่ต้องไปขอข้อมูลซ้ำอีก ค่าที่เก็บเอาไว้จะมีระยะเวลาที่ต้องปรับปรุงข้อมูลใหม่ตามค่าในฟีลด์ TTL ที่กำหนดไว้ใน resource record

7. DNS server ของบริษัท abccompany.com จะรับข้อมูลหมายเลข IP address ของเครื่อง DNS server ที่ดูแล zone ของ domain xyz.com ตามที่เครื่อง DNS server ของ ISP ส่งมาให้ และเก็บลงหน่วยความจำแคชของตนเองเช่นกัน เผื่อมีการเรียกใช้อีกในอนาคต แล้วส่งคำสั่งไปถามข้อมูลว่าเครื่อง www.xyz.com อยู่ที่ไหน (มีหมายเลข IP address อะไร)

8. DNS server ของ domain xyz.com ตรวจสอบข้อมูลและแจ้งว่าเครื่อง www.xyz.com อยู่ที่ IP address 192.186.255.26 ข้อมูลถูกส่งกลับไปให้เครื่อง DNS server ของ abccompany.com

9. คำตอบที่ DNS server ของ abccompany.com ได้รับจะถูกส่งต่อให้กับเครื่องไคลเอนต์ที่ต้องการและก็จัดเก็บข้อมูลลง หน่วยความจำแคชเช่นกัน

10. เมื่อเครื่องลูกข่ายทราบว่า www.xyz.com มีหมายเลข IP address อยู่ที่ 192.183.255.26 ก็จะติดต่อกับเครื่อง www.xyz.com โดยถ้าใช้งานเว็บก็จะสร้างการเชื่อมต่อโดยโปรโตคอล HTTP และใช้งาน port 80 เพื่อเรียกดูข้อมูลในเว็บไซต์นั้นต่อไป ตามกลไกลของ TCP/IP อาจมีผู้สงสัยว่าในการทำงานของ DNS server ทั้งหลายในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นมีวิธีการจัดการอย่างไร ซึ่งสามารถอธิบายได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังกล่าวที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่า DNS server จะถูกจัดลำดับในการดูแลฐานข้อมูลแยกกันตามกลุ่ม โดยแบ่งลำดับชั้นให้สอดคล้องกับการกำหนดชื่อ domain และในแต่ละลำดับของ DNS server นี้จะทราบว่าถ้าต้องการติดต่อขอข้อมูลจากลำดับบนขึ้นไปจะติดต่อได้จากหมาย เลข IP address อะไร โดยในชั้นบนสุดเป็น root ที่จะดูแลข้อมูลของ domain ลำดับที่สองและย่อยลงไปตามชั้น และแต่ละเซิร์ฟเวอร์ที่ดูแล domain ของตนก็จะเรียกว่าเซิร์ฟเวอร์นั้นมีสิทธิ์ในการรับผิดชอบ zone ของตนเอง การลงทะเบียนขอชื่อ Domain Name